PART 1
Al-Fâtihah
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[1:1]
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[1:2]
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์
ผู้ทรงอภิบาลโลกทั้งหลาย
[1:3]
ผู้ทรงยิ่งในความเมตตา
ผู้ทรงยิ่งในความกรุณา
[1:4]
ผู้ทรงสิทธิอำนาจในวันตอบแทน
[1:5]
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอนมัสการ
และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ
[1:6]
โปรดชี้นำเราสู่แนวทางอันเที่ยงตรงด้วยเถิด
[1:7]
แนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์
ได้ทรงโปรดปรานแก่พวกเขา
มิใช่แนวทางของพวกที่ถูกกริ้ว
และมิใช่
(แนวทางของ)
พวกที่หลงผิด
Al-Baqarah
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[2:1]
อะลีฟ
ลาม มีม
[2:2]
นี่คือคัมภีร์
(ของอัลลอฮ์)
ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น
มันเป็นทางนำ
สำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้า
[2:3]
ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย
และพวกเขาดำรงการนมาซ
และใช้จ่าย
(ในหนทางของเรา)
จากสิ่งที่เรา
ได้ประทานให้แก่พวกเขา
[2:4]
ผู้ที่ศรัทธาในคัมภีร์
ที่เราได้ส่งมาให้แก่เจ้า
และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมา
ก่อนหน้าเจ้า
และเชื่อมั่นในโลกหน้า
[2:5]
คนเหล่านี้คือ
ผู้ที่อยู่บนทางนำ
จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา
และพวกเขาเหล่านี้
เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
[2:6]
แท้จริง
สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ
(สิ่งเหล่านี้)
นั้นย่อมเสมอกันกับพวกเขา
ไม่ว่าเจ้าจะตักเตือน
พวกเขาหรือไม่ก็ตาม
พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[2:7]
อัลลอฮ์
ได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขา
และหูของพวกเขา
และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มี
สิ่งปกปิดอยู่
และสำหรับคนพวกนี้
ก็คือการลงโทษอันมหันต์
[2:8]
และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า
เราศรัทธาในอัลลอฮ์
และในวันสุดท้าย
แต่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาเลย
[2:9]
พวกเขา
พยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮ์
และบรรดาผู้ศรัทธา
แต่พวกเขาไม่ได้หลอกลวงใคร
นอกจากพวกเขาเอง
และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่
[2:10]
ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรค
ดังนั้นอัลลอฮ์
จึงได้เพิ่มโรคนั้นให้มากขึ้น
และการลงโทษอันเจ็บปวด
จะมีไว้สำหรับพวกเขา
สำหรับการที่พวกเขาโกหก
[2:11]
เมื่อใดก็ตามที่ได้มีการบอกกับพวกเขาว่า
จงอย่าสร้างความเสียหาย
ขึ้นในแผ่นดิน
พวกเขาจะตอบว่า
แท้จริงแล้ว
เราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก
[2:12]
จงรู้ไว้เถิดว่า
แท้จริง
พวกเขาเป็นผู้ก่อความเสียหาย
แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่
[2:13]
และเมื่อได้มีการบอกกับพวกเขาว่า
จงศรัทธาอย่างจริงใจ
เหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายศรัทธา
พวกเขาจะกล่าวว่าจะให้เราศรัทธาเหมือนกับ
ผู้ที่โฉดเขลาศรัทธากระนั้นหรือ
จงรู้ไว้เถิดว่า
พวกเขาเองนั่นแหละที่โฉดเขลา
แต่พวกเขาหารู้ไม่
[2:14]
และเมื่อพวกเขา
ได้พบบรรดาผู้ศรัทธา
พวกเขากล่าวว่า
เราก็เป็นผู้ศรัทธา
แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหัวโจกของพวกเขา
พวกเขาก็จะกล่าวว่า
แท้จริง เราอยู่กับพวกท่าน
เราเพียงแต่
จะเยาะเย้ยคนพวกนี้เท่านั้น
[2:15]
(พวกเขา
หาได้ตระหนักสักนิดไม่ว่า)
อัลลอฮ์กำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่
และทรงปล่อยให้พวกเขาดื้อดึงต่อไป
ในความระเหระหนอย่างมืดบอด
[2:16]
เหล่านี้คือ
คนที่แลกเปลี่ยนความหลงผิดกับทางนำ
แต่นี่เป็นการค้าที่ไม่ก่อกำไร
และพวกเขา
ก็ไม่ได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง
[2:17]
สภาพของพวกเขาอาจอุปมาได้ดังชายคนหนึ่งได้จุดไฟขึ้น
และเมื่อมันส่องสว่างสิ่งที่รอบ
ๆเขา
อัลลอฮ์ก็ได้เอาแสงสว่างนั้น
ออกไปจากตาของพวกเขา
และปล่อยพวกเขาไว้ในความมืดทึบ
ที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด
[2:18]
พวกเขาหูหนวก
เป็นใบ้
ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่กลับมา
(ยังหนทางที่ถูกต้อง)
[2:19]
หรือ
(สภาพของพวกเขา
ยังอาจอุปมาได้)
ดั่งฝนหนักที่กำลังตกมาจากฟากฟ้า
ที่ตามมาด้วยความมืดทึบ
ฟ้าร้องและฟ้าแลบ
(เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฟ้าลั่น)
พวกเขา
ก็เอานิ้วมืออุดหูของพวกเขา
ให้พ้นจากเสียงฟ้าผ่า
เพราะหวาดกลัวความตาย
(แต่พวกเขาลืมไปว่า)
อัลลอฮ์ นั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน
[2:20]
สายฟ้าแลบ
ทำให้พวกเขาตกใจ
ราวกับว่ามันจะเฉี่ยวเอาการมองเห็น
ไปจากพวกเขา
เมื่อใดที่พวกเขาเห็นแสง
พวกเขาก็เดินคืบหน้าไป
แต่เมื่อมันมืดทึบแก่พวกเขา
พวกเขาก็หยุดยืน
และถ้าอัลลอฮ์ทรงประสงค์
พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขา
และการเห็นของพวกเขา
แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพ
เหนือทุกสิ่ง
[2:21]
มนุษย์เอ๋ย
จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า
ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า
และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า
เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน
จากความชั่ว
[2:22]
ผู้ทรงทำแผ่นดิน
ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า
และชั้นฟ้าเป็นหลังคา
และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า
และทรงให้ผลไม้ต่าง
ๆ
งอกเงยออกมา
เพราะเหตุนั้น
เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า
ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว
ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์
[2:23]
และถ้าหากสูเจ้า
ยังคงคลางแคลงสงสัย
ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา
ก็ขอให้สูเจ้า
จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง
ที่เหมือนกับสิ่งนี้
สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น
นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้
ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง
(ในความสงสัยก็จงทำ)
[2:24]
แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ
และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย
ดังนั้น
จงระวังไฟ
ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ
ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง
[2:25]
และ
(มุฮัมมัด)
จงแจ้งข่าวดี
แก่บรรดาผู้ศรัทธา
และประกอบการดีทั้งหลายว่า
สำหรับพวกเขา
คือสวนสวรรค์หลากหลาย
ที่เบื้องล่าง
มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน
คราวใดที่พวกเขา
ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ
พวกเขาจะกล่าวว่า
นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน
และพวกเขา
จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น
และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์
สำหรับพวกเขาในนั้น
และพวกเขาทั้งหลาย
จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป
[2:26]
บรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่าอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร
โดยคำเปรียบเทียบนี้
อัลลอฮ์
ทรงปล่อยให้หลายคนหลงทาง
และทรงนำทางหลายคน
สู่หนทางที่ถูกต้องโดยสิ่งเดียวกันนี้
แต่พระองค์
มิได้ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงนอกจากผู้ฝ่าฝืน
[2:27]
ผู้ทำลายสัญญาของอัลลอฮ์
หลังจากที่รับรองมันแล้ว
และผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญชาให้สัมพันธ์
และผู้ก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดิน
เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ขาดทุน
[2:28]
สูเจ้า
ปฏิเสธอัลลอฮ์ได้อย่างไร
ในเมื่อความจริงแล้ว
สูเจ้าไม่มีชีวิตมาก่อน
แล้วพระองค์ได้ทรงให้ชีวิตแก่สูเจ้า
หลังจากนั้นพระองค์
จะทรงทำให้สูเจ้าตาย
แล้วทำให้สูเจ้ามีชีวิตอีก
แล้วสูเจ้า
จะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[2:29]
พระองค์
คือผู้ทรงสร้าง
ทุกสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อสูเจ้า
แล้วพระองค์
ได้ทรงหันไปยังท้องฟ้า
และทรงจัดลำดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้า
และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง
[2:30]
จงรำลึกถึงเวลา
ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า
ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า
ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง
ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน
บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า
พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย
และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ
ทั้ง ๆ
ที่เรากล่าวสดุดี
ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์
(และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์)
และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์
พระองค์ได้ทรงตอบว่า
แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้
[2:31]
แล้วพระองค์
ได้ทรงสอนอาดัม
ถึงนามของทุกสรรพสิ่ง
หลังจากนั้นพระองค์
ได้ทรงนำมันมาเสนอต่อมลาอิกะฮ์
และถามว่า
จงบอกแก่ฉันซึ่งชื่อของสิ่งเหล่านี้
ถ้าสูเจ้าแน่ใจ
(ในการคิดว่า
การแต่งตั้งตัวแทน
จะก่อให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย)
[2:32]
บรรดามลาอิกะฮ์ตอบว่า
มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์
เราไม่มีความรู้อันใด
นอกจากที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา
แท้จริง
พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาน
[2:33]
พระองค์จึงกล่าวว่า
อาดัมเอ๋ย
จงบอกนามของสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา
(เมื่ออาดัม
ได้บอกพวกเขาถึงนามของสิ่งเหล่านั้นแล้ว)
พระองค์ได้ทรงประกาศว่า
ฉันมิได้บอกสูเจ้าหรือว่า
ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับ
แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และฉันรู้ดียิ่ง
ถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผย
และที่สูเจ้าปิดบัง
[2:34]
แล้วพระองค์ได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงคำนับอาดัม
มลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้คำนับ
นอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธไม่ยอมทำ
มันยโสโอหังและเป็นผู้ปฏิเสธ
[2:35]
และเราได้กล่าวว่า
อาดัมเอ๋ย
เจ้าและคู่ครองของเจ้า
จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์
และจงกินตามความพอใจของเจ้าทั้งสอง
จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น
แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้
มิเช่นนั้น
เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้ละเมิด
[2:36]
แต่ต่อมา
มารร้ายได้หลอกลวงทั้งสอง
ด้วยต้นไม้นั้น
(เพื่อมิให้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา)
และได้นำเขาทั้งสอง
ออกจากสภาพที่เคยอยู่
และเราได้ประกาศว่า
เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่
เจ้าต่างเป็นศัตรูกัน
และเจ้าจะมีที่พัก
และปัจจัยยังชีพบนโลก
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
[2:37]
ในเวลานั้น
อาดัมได้เรียนถ้อยคำที่เหมาะสมจากพระผู้อภิบาลของเขา
และสำนึกผิด
ดังนั้น
พระองค์
จึงได้รับการสำนึกผิดของเขา
แท้จริง
พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2:38]
(ก่อนที่อาดัมจะออกจากสวนสวรรค์)
เราได้กล่าวว่า
เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่
และถ้ามีทางนำจากฉันมายังเจ้า
แล้วผู้ใด ปฏิบัติตามทางนำของฉัน
พวกเขา
ก็จะไม่มีความหวาดกลัว
และพวกเขาจะไม่ระทม
[2:39]
และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ
และกล่าวเท็จต่ออายะฮ์ทั้งหลายของเรา
พวกเขาก็คือสหายของไฟ
ที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น
[2:40]
โอ้วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย
จงรำลึกถึงความโปรดปราน
ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกสูเจ้า
และจงปฏิบัติ
ตามสัญญาของฉันให้ครบ
ส่วนฉัน
จะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่ทำกับพวกสูเจ้าให้ครบด้วย
และเฉพาะฉันเท่านั้น
ที่พวกสูเจ้าต้องเกรงกลัว
[2:41]
และจงศรัทธา
(ในกุรอาน)
ที่ฉันได้ประทานลงมา
เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่สูเจ้ามีอยู่
และจงอย่าแลกเปลี่ยน
อายะฮ์ทั้งหลายของฉัน
ด้วยราคาเพียงเล็กน้อย
และเฉพาะฉันเท่านั้น
ที่สูเจ้าจะต้องสำรวมตน
[2:42]
และจงอย่าเคล้าความจริง
ด้วยความเท็จ
และจงอย่าปิดบังความจริง
ทั้งๆที่เจ้ารู้อยู่
[2:43]
และจงดำรงนมาซ
และจ่ายซะกาต
และจงโค้งคำนับต่อฉัน
ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับ
[2:44]
สูเจ้า
กำชับคนอื่นให้ปฏิบัติตามคุณธรรม
แต่สูเจ้า
กลับลืมตัวเองกระนั้นหรือ
ทั้งๆที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์
แล้วสูเจ้ายังไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ
[2:45]
และจงขอความช่วยเหลือ
ด้วยความอดทนและการนมาซ
แน่นอน
การนมาซนั้นเป็นงานหนัก
แต่ไม่ใช่กับบรรดาผู้ถ่อมตน
[2:46]
ผู้ที่ตระหนักว่าในที่สุด
พวกเขาจะได้พบ
กับพระผู้อภิบาลของพวกเขา
และพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์
[2:47]
วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย
จงรำลึก
ถึงความโปรดปรานของฉัน
ที่ฉันได้ให้แก่สูเจ้า
และจงจำไว้ว่า
ฉันได้ยกย่องสูเจ้า
เหนือประชาชาติทั้งหลาย
[2:48]
และจงสำรวมตนต่อวันหนึ่ง
เมื่อชีวิต
หนึ่งไม่สามารถที่จะช่วยแทน
อีกชีวิตหนึ่งได้
และการขอไถ่แทนจากใคร
ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ
และก็จะไม่มีใครถูกไถ่แทน
และคนผิด
ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใครด้วย
[2:49]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่เราได้ช่วยสูเจ้า
ให้รอดพ้น
จากการเป็นทาสของคนฟิรฺเอาน์
ผู้กดขี่สูเจ้า
ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส
พวกเขา
ฆ่าลูกชายของสูเจ้า
และไว้ชีวิตลูกหญิงของสูเจ้า
และในนี้
คือการทดสอบอันใหญ่หลวง
สำหรับสูเจ้า
จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า
[2:50]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่เราได้แยกน้ำทะเล
เพื่อนำทางให้สูเจ้า
และให้พวกสูเจ้าผ่านทางนั้น
ไปได้โดยปลอดภัย
และเราได้ทำให้บริวารของฟิรฺเอาน์
จมน้ำไปต่อหน้าต่อตาของสูเจ้า
[2:51]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่เราได้เชิญมูซาเป็นเวลา
40 คืน
หลังจากที่มูซาไม่อยู่
พวกสูเจ้าก็ได้เอาลูกวัวขึ้นบูชา
ดังนั้น
พวกสูเจ้าจึงเป็นผู้อธรรม
[2:52]
แต่ถึงกระนั้น
เราก็ได้ยกโทษให้สูเจ้า
หลังจากนั้นเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้ขอบคุณ
[2:53]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่
(สูเจ้ากำลังสร้างความอธรรม)
เรา
ได้ประทานคัมภีร์
และเกณฑ์ตัดสินสิ่งถูก
และสิ่งผิดแก่มูซา
เพื่อที่ว่าสูเจ้า
จะได้อยู่ในทางนำ
[2:54]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าว
แก่ประชาชนของเขาว่า
ประชาชนของฉันเอ๋ย
แท้จริง
พวกท่าน
ได้กระทำผิดต่อตัวพวกท่านเอง
ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา
ดังนั้น
พวกท่าน
ควรจะหันไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน
เพื่อขอลุแก่โทษ
และจงฆ่าผู้กระทำผิดในหมู่พวกท่าน
นี่เป็นการดีที่สุด
สำหรับพวกท่าน
ในสายตาของพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน
แล้วพระองค์
ได้ทรงนิรโทษสูเจ้า
เพราะพระองค์
คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2:55]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่สูเจ้าได้กล่าวว่า
มูซาเอ๋ย
เราจะไม่เชื่อท่าน
จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮ์
(พูดกับท่าน)
ด้วยตาเราเอง
ทันใดนั้นเอง
สายฟ้าก็ได้ฟาดลงมายังพวกสูเจ้า
ในขณะที่สูเจ้ากำลังมองอยู่
จนสูเจ้าล้มสิ้นชีวิตไป
[2:56]
หลังจากนั้น
เราก็ได้ให้สูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตาย
เพื่อที่ว่าสูเจ้า
จะได้ขอบคุณ
สำหรับความโปรดปรานอันนี้
[2:57]
(จงนึกถึงเมื่อ)
เราได้ให้เมฆมายังสูเจ้า
และเราได้ประทาน
มันนะและซัลวา
เป็นอาหารสำหรับสูเจ้า
และกล่าวว่า
จงกินจากสิ่งที่ดี
ที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า
(แต่กระนั้นก็ตาม
บรรดาบรรพบุรุษของสูเจ้า
ก็ยังละเมิดคำบัญชาของเรา)
อย่างไรก็ตาม
พวกเขามิได้อธรรมต่อเรา
หากแต่พวกเขาอธรรม
ต่อตัวของพวกเขาเอง
[2:58]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่เราได้กล่าวว่า
จงเข้าไปยังเมืองนี้
และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง
ตามที่สูเจ้าต้องการ
แต่จงเข้าประตูไปอย่างนอบน้อม
และจงกล่าวคำ
ฮิตเตาะตุน
แล้วเราจะอภัยความผิดของสูเจ้า
และเราจะเพิ่มพูนรางวัล
แก่ผู้ประกอบการดี
[2:59]
แต่บรรดาผู้อธรรม
ได้เปลี่ยนถ้อยคำที่ถูกกล่าวแก่เขา
ให้เป็นอย่างอื่น
ดังนั้น
เราจึงได้ส่งการลงโทษจากเบื้องบน
มายังบรรดาผู้อธรรม
ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน
[2:60]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่มูซา
ได้ขอน้ำดื่มเพื่อประชาชนของเขา
แล้วเราได้กล่าวว่า
จงเอาไม้เท้าของเจ้า
ฟาดหินก้อนนั้น
ซึ่งทำให้มีน้ำพุพุ่งออกมา
จากมันสิบสองตา
ดังนั้น
ผู้คนจากทุกเผ่า
จึงได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกเขา
(แล้วพวกเขาได้ถูกสั่งว่า)
จงกิน
และจงดื่ม
จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้
และจงอย่าเป็นผู้ก่อการเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน
[2:61]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า
มูซาเอ๋ย เรา
ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้
ดังนั้น
จงร้องขอ
ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน
ให้นำผลผลิตที่งอกเงย
ออกจากพื้นดิน
คือ พืชผัก
แตงกวา
กระเทียม ถั่ว
และหัวหอม
มาให้แก่เราเหน่อย
มูซาได้กล่าวตอบว่า
พวกท่านต้องการเปลี่ยน
เอาสิ่งที่เลวกว่า
แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ
ถ้าเช่นนั้น
จงไปอยู่ในเมือง
และพวกท่าน
จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น
หลังจากนั้น
พวกเขาตกต่ำ
จนต้องถูกความอัปยศ
และความขัดสนฟาดกระหน่ำ
และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์
นั่นเป็นเพราะ
เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์
และฆ่านบีบางคน
โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม
นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง
และพวกเขาละเมิด
[2:62]
จงแน่ใจได้เลยว่า
ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา
ยิว
คริสเตียน
หรือซอบีอีน
ที่เชื่อในอัลลอฮ์
และในวันสุดท้าย
และประกอบการดี
พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน
ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา
และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว
และพวกเขาจะไม่ระทม
[2:63]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้า
และเราได้ยกตูรฺขึ้นเหนือสูเจ้า
และกล่าวว่า
จงยึดมั่น
ต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้า
และจงรำลึกถึง
(หลักธรรมคำสอน)
ที่อยู่ในนั้น
เพื่อที่สูเจ้าจะได้สำรวมตน
จากความชั่ว
[2:64]
แต่แม้หลังจากนั้น
สูเจ้าจะละทิ้งสัญญาก็ตาม
หากมิใช่ความโปรดปราน
และความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อสูเจ้าแล้ว
สูเจ้า
จะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน
[2:65]
และพวกสูเจ้า
ก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่สูเจ้า
ที่ละเมิดวันเสาร์
เรา จึงได้กล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า
จงเป็นลิงที่ถูกรังเกียจ
[2:66]
ดังนั้น
เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา
เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้น
และแก่คนรุ่นหลัง
และเป็นข้อตักเตือน
สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว
[2:67]
และจงนึกถึง
เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าวแก่คนของเขาว่า
แท้จริงอัลลอฮ์
ได้ทรงบัญชาพวกท่าน
ให้เชือดวัวตัวหนึ่ง
พวกเขาตอบว่า
ท่านกำลังล้อเล่นกับเราใช่ไหม
มูซาตอบว่า
ฉัน ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์
ให้พ้นจากการประพฤติเยี่ยงผู้โง่เขลา
[2:68]
แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า
จงขอพระผู้อภิบาลของท่าน
ให้บอกรายละเอียดให้กระจ่างด้วย
ว่ามันเป็นอย่างไร
มูซาได้กล่าวว่า
พระองค์ตรัสว่า
เป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่
และไม่อ่อน
แต่เป็นวัววัยปานกลาง
ดังนั้น จงทำตามที่ท่านถูกบัญชาเถิด
[2:69]
พวกเขาได้ถามต่อไปอีกว่า
จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน
ให้บอกถึงสีของวัว
ให้เป็นที่กระจ่างแก่เราด้วย
มูซาได้ตอบว่า
พระองค์ตรัสว่า
วัวตัวนั้น
ควรจะมีสีเหลืองเข้มสดใส
เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น
[2:70]
พวกเขายังกล่าวอีกว่า
จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน
ให้กำหนดชนิดของวัวที่ต้องการ
ให้แก่เรา
เพราะวัวนั้น
มีลักษณะคล้ายกันโดยทั่วไป
แล้วเรา
จะได้หามันพบ
ถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์
[2:71]
มูซากล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า
วัวตัวนั้นเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถ
ให้ไถดิน
และไม่เคยถูกใช้ให้ทดน้ำเข้านา
เป็นวัวที่สมบูรณ์
ปราศจากตำหนิตามตัว
แล้วพวกเขาก็ร้องออกมาว่า
ท่านได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว
ดังนั้น พวกเขาจึงได้เชือดวัวตัวนั้นพลี
โดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ
[2:72]
และจงนึก
เมื่อตอนที่สูเจ้าฆ่าชายคนหนึ่ง
และสูเจ้าก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้
แต่อัลลอฮ์ก็ได้นำเรื่อง
ที่สูเจ้าปิดบังออกมาเปิดเผย
[2:73]
ดังนั้น
เราจึงได้บัญชาว่า
จงฟาดศพของคนที่ถูกฆ่า
ด้วยส่วนหนึ่งของวัวที่ถูกเชือดพลี
จงดูว่าอัลลอฮ์
ทรงทำให้คนตาย
กลับฟื้นมีชีวิตได้อย่างไร
และพระองค์
ได้ทรงแสดงสัญญาณให้เห็น
เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เข้าใจ
[2:74]
แต่ถึงแม้จะได้เห็นสัญญาณเหล่านี้แล้วก็ตาม
หัวใจของสูเจ้าก็ยังกระด้างเป็นหินหรือยิ่งกว่าหินเสียอีก
อย่างไรก็ตาม
ในบรรดาหินนั้นก็มีบางก้อนที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากมัน
และมีบางก้อนที่แตกออกและมีน้ำไหลออกมา
แล้วก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮ์
และอัลลอฮ์มิทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
[2:75]
(โอ้มุสลิมทั้งหลาย)
แล้วสูเจ้ายังจะหวังว่าคนเหล่านี้จะยอมรับคำเชิญชวนของสูเจ้าและเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ
ในขณะที่ในหมู่พวกเขามีบางคนที่ได้ยินถ้อยคำของอัลลอฮ์แล้วเข้าใจ
มันดีแต่กลับไปบิดเบือนมันเสียทั้ง
ๆ
ที่พวกเขารู้ดี
[2:76]
และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ที่ศรัทธา
พวกเขากล่าวว่า
เราก็ศรัทธาด้วย
แต่เมื่อพวกเขาอยู่กับคนอื่นตามลำพัง
พวกเขากล่าวว่า
พวกท่านไม่คิดหรือว่าที่พวกท่านไปบอกเล่าถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่ท่านนั้นจะเป็นสิ่งที่พวกเขานำมันมาเป็นข้อพิสูจน์ต่อท่านต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกท่าน
[2:77]
พวกเขาไม่รู้จริง
ๆ
หรือว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบัง
และที่พวกเขาเปิดเผย
[2:78]
และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้อ่านเขียนไม่เป็น
ไม่รู้คัมภีร์
นอกจากจะอาศัยเรื่องไร้สาระต่าง
ๆ
และตามการนึกเดาไปเท่านั้นเอง
[2:79]
ดังนั้น
ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของพวกเขาแล้วกล่าวว่า
นี่มาจากอัลลอฮ์
ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนราคาเล็กน้อยบางอย่าง
(พวกเขาไม่เห็นว่า)
สิ่งที่เขียนด้วยมือของพวกเขาจะนำความวิบัติมายังพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นก็นำพวกเขาไปสู่ความหายนะ
[2:80]
และพวกเขากล่าวว่า
ไฟนรกจะไม่สัมผัสเรา
และถ้าหากมันจะสัมผัสเรา
มันก็จะเป็นเพียงสองสามวันเท่านั้น
จงกล่าวเถิด
พวกท่านได้รับสัญญาจากอัลลอฮ์ที่พระองค์จะไม่ทรงบิดพลิ้วกระนั้นหรือ
หรือพวกท่านกล่าวร้ายต่ออัลลอฮ์
ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้
[2:81]
ทำไมไฟนรกจะไม่สัมผัสพวกท่าน
ใครก็ตามที่ขวนขวายการชั่วและหมกมุ่นอยู่กับการบาป
เขาเหล่านั้นก็คือสหายของไฟนรก
และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น
[2:82]
ส่วนบรรดาผู้ศรัทธา
และประกอบการดี
จะเป็นผู้ที่ได้อยู่ในสวรรค์
และพำนักอยู่ที่นั่นตลอดไป
[2:83]
และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับวงศ์วานของอิสรออีลว่า
จงอย่าเคารพภักดีผู้ใดเว้นแต่อัลลอฮ์
จงทำดีต่อบิดามารดา
ต่อญาติสนิท
เด็กกำพร้า
ผู้ขัดสน และจงสนทนากับผู้คนโดยดี
จงดำรงนมาซและจ่ายซะกาต
แต่พวกสูเจ้าได้หันหลังกลับให้มัน
และไม่ใส่ใจมันยกเว้นส่วนน้อย
จากหมู่สูเจ้าเท่านั้น
[2:84]
จงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้าว่า
สูเจ้าต้องไม่หลั่งเลือดพวกของสูเจ้าและต้องไม่ขับไล่พวกของสูเจ้าออกจากบ้านของสูเจ้า
และสูเจ้าก็ได้รับรองและสูเจ้าก็เป็นพยานอยู่ด้วย
[2:85]
แต่หลังจากนั้น
ทั้ง ๆ
ที่มีสัญญาแล้ว
สูเจ้าก็ยังฆ่าพวกพ้องของสูเจ้าและขับไล่พวกของสูเจ้าเองออกจากบ้านของสูเจ้า
และหนุนหลังพวกเขาในการบาปและการเป็นศัตรู
และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้าในฐานะเชลย
สูเจ้าก็ไถ่พวกเขาทั้ง
ๆ
ที่การขับไล่พวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้า
แล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์
และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ
ดังนั้น
ไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้
และในวันฟื้นขึ้น
พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง
และอัลลอฮ์
มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ
[2:86]
เหล่านี้คือคนที่ซื้อชีวิตของโลกนี้แทนโลกหน้า
ดังนั้น
การลงโทษพวกเขาจะไม่ถูกลดหย่อน
และพวกเขาจะไม่ถูกช่วยเหลือ
[2:87]
และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาและหลังจากเขาแล้ว
เราได้ให้มีรอซูลสืบต่อเนื่องกันมา
และเราได้ส่งอีซาลูกของมัรยัมมาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้งและเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์
แล้วมันเป็นอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อมีรอซูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่จิตใจของสูเจ้าไม่ชอบ
สูเจ้าก็กระด้างกระเดื่องต่อเขา
กล่าวเท็จต่อเขาและฆ่าเขา
[2:88]
และพวกเขากล่าวว่า
หัวใจของพวกเรามั่นคงปลอดภัย
แต่ความจริงก็คือ
อัลลอฮ์ได้ประณามสาปแช่งพวกเขา
เพราะการที่พวกเขาปฏิเสธ
ดังนั้น
พวกเขาจึงมีน้อยนักที่ศรัทธา
[2:89]
แล้วตอนนี้พวกเขาปฏิบัติต่อคัมภีร์จากอัลลอฮ์ที่ได้มายังพวกเขาอย่างไร
ถึงแม้ว่ามันจะยืนยันคัมภีร์ที่พวกเขามีอยู่แล้ว
ถึงแม้ก่อนที่มันจะมา
พวกเขาเคยวิงวอนขอชัยชนะต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ
แต่ถึงกระนั้น
พวกเขาก็ยังปฏิเสธมันถึงแม้ว่าพวกเขารู้
ดังนั้น
การสาปแช่งจากอัลลอฮ์จึงมีแก่พวกปฏิเสธ
[2:90]
ช่างชั่วช้าแท้
ๆ
ที่พวกเขาหลอกลวงตัวของพวกเขาเอง
พวกเขาปฏิเสธทางนำที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเพียงเพราะพวกเขาริษยาว่าทำไมอัลลอฮ์ถึงได้ประทานความโปรดปรานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์
ดังนั้น พวกเขาจึงได้ก่อให้เกิดความกริ้วแล้วกริ้วอีก
และสำหรับพวกปฏิเสธนั้น
คือการลงโทษอันแสนสาหัส
[2:91]
และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงศรัทธาตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา
พวกเขากล่าวว่า
เราศรัทธาแต่เฉพาะในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่เรา
และพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทั้ง
ๆ
ที่มันเป็นสัจธรรมและยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา
ดังนั้น
จงถามพวกเขาว่า
ถ้าหากพวกท่านศรัทธาอย่างจริงใจ
ทำไมพวกท่านถึงได้ฆ่านบีของอัลลอฮ์
(ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน
จากในหมู่ของพวกท่านเอง)
[2:92]
(ยิ่งไปกว่านั้น)
มูซาก็ได้มายังสูเจ้าพร้อมกับสัญญาณต่าง
ๆ อันชัดแจ้ง
แต่เมื่อเขาไปจากสูเจ้าได้ไม่เท่าไหร่
สูเจ้าก็เป็นผู้ละเมิดเอาลูกวัวมาบูชา
[2:93]
และจงนึกถึงสัญญาที่เราได้ทำกับสูเจ้าในขณะที่เราได้ยกภูเขาฏูรเหนือสูเจ้า
เราได้สั่งว่า
จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้าและจงฟังคำบัญชาของเรา
พวกเขากล่าวว่า
เราได้ยินแล้ว
แต่เราไม่เชื่อฟัง
พวกเขาฝักใฝ่ไปในทางปฏิเสธจนในหัวใจของพวกเขานั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยลูกวัว
จงบอกพวกเขาเถิด
(มุฮัมมัด)
ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาจริง
ศรัทธาของพวกท่านก็เป็นศรัทธา
ที่บัญชาพวกท่านให้ทำสิ่งชั่วช้าเช่นนั้น
[2:94]
จงบอกพวกเขาว่า
ถ้าหากที่พำนักแห่งปรโลก
ที่อัลลอฮ์ได้ถูกสำรองไว้สำหรับพวกท่าน
เป็นการเฉพาะ
และมิใช่สำหรับมนุษย์อื่นแล้ว
พวกท่านก็เรียกหาความตายเถิด
ถ้าหากพวกท่านจริงใจ
ต่อสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้าง
[2:95]
แต่
(จงเชื่อเถิดว่า)
พวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้นหรอก
เพราะ
(พวกเขารู้ดีถึงผลของ)
สิ่งที่พวกเขาได้ส่งไปก่อนหน้านั้นแล้ว
และอัลลอฮ์
ทรงรู้ดีถึงความคิดของพวกอธรรม
[2:96]
เจ้าจะได้พบว่า
ในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด
พวกเขา เป็นผู้ที่โลภเพื่อชีวิตมากที่สุดไม่
พวกเขา
โลภยิ่งกว่าพวกบูชารูปปั้นเสียอีก
พวกเขาแต่ละคนอยากที่จะมีอายุยืนถึงพันปี
แต่นี่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกลงโทษได้
แม้จะมีอายุยืนก็ตาม
และอัลลอฮ์
ทรงเห็นทุกอย่างที่พวกเขากระทำ
[2:97]
จงกล่าวแก่พวกเขาว่า
ใครก็ตามที่เป็นศัตรูต่อญิบรีล
ควรจะเข้าใจว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์
เขาได้นำกุรอานมายังหัวใจของเจ้า
เป็นที่ยืนยันสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้ามัน
และเป็นทางนำ
และข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา
[2:98]
(ถ้าหากความเป็นศัตรูของพวกเขาต่อญิบรีลมีสาเหตุมาจากสิ่งนี้
ก็ขอให้พวกเขาเข้าใจว่า)
ผู้ใดเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์
มลาอิกะฮ์และรอซูลของพระองค์
ญิบรีลและมีกาล
ดังนั้น
อัลลอฮ์ ทรงเป็นศัตรูต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ
[2:99]
เราได้ประทานอายะฮ์ทั้งหลายอันชัดแจ้ง
มายังเจ้าแล้ว
และไม่มีผู้ใดปฏิเสธมัน
นอกจากพวกฝ่าฝืน
[2:100]
และทุกครั้งที่พวกเขาได้ทำสัญญา
พวกเขากลุ่มหนึ่งมิใช่หรือที่ได้ทิ้งสัญญา
มิใช่เช่นนั้น
พวกเขาส่วนมากต่างหากที่ไม่ศรัทธา
[2:101]
และเมื่อใดก็ตามที่รอซูลจากอัลลอฮ์มายังพวกเขา
เป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขา
ชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งก็จะโยนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ไว้ข้างหลัง
ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร
[2:102]
และ
(แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน)
พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม
(วิทยากล)
ที่พวกวายร้ายได้อ้างอย่างผิด
ๆ
ว่ามันมาจาก
(ความยิ่งใหญ่แห่ง)
อาณาจักรสุลัยมาน
ทั้งที่ความจริงแล้ว
สุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ
แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ
พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูตและมารูต
มลาอิกะฮ์สองคนที่บาบิล
(บาบิโลน)
เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะฮ์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด
เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า
เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น
พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ
แต่ถึงแม้จะเตือนแล้ว
คนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะฮ์ทั้งสองซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างสามี
และคู่ครองของเขา
ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ์
แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาและไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น
พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย
ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร
สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาไป
เพื่อมัน
ถ้าหากว่าพวกเขารู้
[2:103]
ถ้าหากพวกเขาศรัทธาในอัลลอฮ์
และสำรวมตนจากความชั่ว
พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน
ที่ดีกว่าจากอัลลอฮ์
ถ้าหากว่าพวกเขาได้รู้
[2:104]
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
จงอย่ากล่าวว่า
รออินา
แต่จงกล่าวว่า
อุนซุรนา
และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป
สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น
คือการลงโทษอันเจ็บปวด
[2:105]
บรรดาผู้ปฏิเสธสารแห่งสัจธรรม
ไม่ว่าจะเป็นชาวคัมภีร์
หรือพวกบูชาเทวรูป
ไม่ปรารถนาที่จะเห็นความดีใด
ๆ
จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าถูกส่งมายังสูเจ้าทั้ง
ๆ ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกที่จะประทานความเมตตาของพระองค์
ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยเฉพาะ
และอัลลอฮ์
คือเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง
[2:106]
อายะฮ์ใด
ที่เราได้ยกเลิกหรือถูกทำให้ลืมเลือน
เราก็ได้นำที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเทียมกันมาทดแทน
สูเจ้าไม่รู้หรือว่า
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[2:107]
สูเจ้าไม่รู้หรือว่าอำนาจแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮ์
และสูเจ้าไม่มีผู้ใดเป็นผู้คุ้มครอง
และผู้ช่วยเหลือนอกจากอัลลอฮ์
[2:108]
หรือสูเจ้าอยากจะถามรอซูลของสูเจ้าดังที่มูซาได้ถูกถามแต่ก่อนนี้
และผู้ใดที่เอาการปฏิเสธมาแลกการศรัทธา
เขาผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่เที่ยงตรง
[2:109]
ส่วนมากของชาวคัมภีร์
ต้องการที่จะหันสูเจ้ากลับมายังการปฏิเสธ
หลังจากการศรัทธาของสูเจ้า
ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขา
หลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้ง
แก่พวกเขาแล้ว
ดังนั้น
สูเจ้าจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะได้มีพระบัญชาลงมา
(ดังนั้นขอให้แน่ใจได้ว่า)
อัลลอฮ์
เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[2:110]
และจงดำรงนมาซและจ่ายซะกาต
และความดีอันใดที่สูเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนสำหรับตัวสูเจ้า
สูเจ้าก็จะพบมันที่อัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์
ทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
[2:111]
พวกเขากล่าวว่า
ไม่มีใครที่จะได้เข้าสวรรค์
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน
นี่คือความหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขา
จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า
จงนำหลักฐานของพวกท่านมา
ถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[2:112]
ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ใครก็ตามที่ยอมมอบตนต่ออัลลอฮ์
และเป็นผู้กระทำการดี
เขาก็จะได้รับการตอบแทนจากพระผู้อภิบาลของเขา
และจะไม่มีความกลัว
และความระทมสำหรับพวกเขา
[2:113]
และพวกยิวกล่าวว่าพวกคริสเตียนไม่มีสิ่งใด
(แห่งสัจธรรม)
และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่าพวกยิวก็ไม่มีสิ่งใด
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันนั้น
และพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกันนั้น
ดังนั้น
อัลลอฮ์จะตัดสินเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน
ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ
[2:114]
และผู้ใดเล่าที่อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ห้ามการเข้าไปในมัสญิดทั้งหลายของอัลลอฮ์เพื่อกล่าวรำลึกถึงพระนามของพระองค์ภายในนั้นและพยายามที่จะทำลายมัน
คนพวกนี้ไม่สมควรที่จะเข้าไปในนั้นเว้นแต่พวกเขาจะเข้าไปด้วยความยำเกรง
สำหรับพวกเขาในโลกนี้คือความอัปยศอดสู
และการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก
[2:115]
ทั้งตะวันออก
และตะวันตกเป็นของอัลลอฮ์
สูเจ้าจะพบอัลลอฮ์
ในทุกทิศทาง
ที่สูเจ้าผินหน้าของสูเจ้าไป
แท้จริงอัลลอฮ์
คือผู้ทรงไพบูลย์
ผู้ทรงรอบรู้
[2:116]
และพวกเขากล่าวว่า
อัลลอฮ์
ได้เอามนุษย์มาเป็นบุตร
มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์
ผู้ทรงอยู่เหนือสิ่งเช่นนั้น
ความจริงแล้ว
อะไรก็ตาม
ที่อยู่ในชั้นฟ้า
และแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์
และทุกสรรพสิ่ง
ล้วนภักดีต่อพระองค์
[2:117]
พระองค์
คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน
เมื่อพระองค์
ทรงกำหนดกิจการใด
พระองค์เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า
จงเป็น
แล้วมันก็เป็นขึ้นมา
[2:118]
และบรรดา
(พวกมุชริกีน)
ผู้ไม่รู้อะไรเลยได้กล่าวว่า
หากอัลลอฮ์
ไม่เจรจากับเรา
(โดยตรง) หรือไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ
มาสู่พวกเรา
(เราก็ไม่ขอเชื่อถืออย่างแน่นอน)
[2:119]
เราได้ส่งเจ้า
(มุฮัมมัด)
พร้อมด้วยสัจธรรม
และได้ทำให้เจ้าเป็นผู้แจ้งข่าวดี
และเป็นผู้ตักเตือน
และเจ้า
จะไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ต่อบรรดาชาวนรก
[2:120]
และชาวยิวและชาวคริสต์นั้น
จะไม่ยินดีแก่เจ้า
(มุฮัมมัด)
เป็นอันขาด
จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา
จงกล่าวเถิด แท้จริง
คำแนะนำของอัลลอฮ์
เท่านั้น คือ คำแนะนำ
แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา
หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้า
แล้ว
ก็ย่ามไม่มีผุ้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆ
สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้
[2:121]
บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขาโดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์อย่างจริงๆ
ชนเหล่านี้แหละคือ
ผู้ที่ศรัทธาต่อคคัมภีร์นั้นไซร้
แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน
[2:122]
วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย!
จงรำลึกถึงความกรุณาของข้า
ที่ข้าได้กรุณาต่อพวกเจ้า
และแท้จริง
ข้าได้เทิดพวกเจ้าเหนือประชาชาติ
ทั้งหลาย
[2:123]
และจงเกรงกลัววันหนึ่งซึ่งในวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใด
และการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ
การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร
และผู้ที่ทำผิดทั้งหลายจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ
[2:124]
จงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ทรงทดสอบอิบรอฮีมในบางสิ่ง
แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน
พระองค์ทรงตรัสว่า
ฉันจะทำให้เจ้าเป็นผู้นำของมนุษยชาติ
เขาได้ถามว่า
สัญญานี้รวมถึงลูกหลานของฉันด้วยหรือ
พระองค์ตรัสว่า
สัญญาของฉันไม่แผ่ถึงพวกอธรรม
[2:125]
และจงรำลึกถึงขณะที่เรา
ได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์
และเป็นที่ปลอดภัยและพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีม
เป็นที่ละหมาดเภิด
และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม
และ
อิสมาอีลว่า
เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้า
เพื่อบรรดาผู้ทำการเฏาะวาป
และบรรดาผู้ทำการ
เอียติกาฟ
และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด
[2:126]
และจงรำลึกถึงยณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
โปรดทรงให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย
และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพ
แก่ชาวเมืองนั้นด้วย
คือ
ผุ้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และวันปรโลกจากพวกเขา
พระองค์ตรัสว่า
ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา
ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก
และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง
[2:127]
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล
ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น
(ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า)
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของ
พวกข้าพระองค์โปรดรับ
(งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยิน
และทรงรอบรู้
[2:128]
พระผู้อภิบาลของเรา
ได้ทรงโปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานของเราเป็นชนชาติที่นอบน้อมต่อพระองค์
ขอได้ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงโปรดนิรโทษแก่เราโดยปรานี
แน่แท้
พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[2:129]
พระผู้อภิบาลของเรา
ได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮ์ทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา
และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา
และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด
แน่แท้
พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[2:130]
แล้วใครเล่าที่จะหันเหออกไปจากแนวทางของอิบรอฮีมนอกจากผู้ที่โฉดเขลาต่อตัวเขาเอง
แน่นอน
อิบรอฮีมคือผู้ที่เราได้เลือกมาเพื่อรับใช้เราในโลกนี้
และแท้จริง
ในปรโลก
เขาจะอยู่ในหมู่กัลยาณชน
[2:131]
จงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า
เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิด
เขากล่าวว่า
ข้าพระองค์ได้สวามิภักดิ์แด่พระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว
[2:132]
ในทำนองเดียวกัน
อิบรอฮีมได้สั่งลูก
ๆ ของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน
ยะอ์กู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูก
ๆ
ของเขาเช่นกันว่า
ลูก ๆ
ของฉันเอ๋ย
อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้น
จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย
[2:133]
หรือว่าพวกเจ้าอยู่ด้วย
เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอ์กูบ
ขณะที่เขากล่าว
แก่ลูกๆ
ของเขาว่า
พวกเจ้าจะเคารพสักการะอะไร
หลังจากฉัน? พวกเขากล่าวว่า
พวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของทาน
และพระเจ้าแห่งบรรดาบิดาของท่าน
คือ อิบรอฮีม
อิสมาอีล และ
อิสหาก
แต่เพียงองค์เดียว
และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์
ต่อพระองค์เท่านั้น
[2:134]
นั้นคือ
หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว
สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้
ก็ย่อมได้แก่พวกเขา
และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเจ้า
และ พวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ
[2:135]
และพวกเขากล่าวว่า
พวกท่านจงเป็นยิวเถิด
หรือ
เป็นคริสต์เถิด
พวกท่านก็จะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
หาใช่เช่นนั้นไม่
แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหาก
และเขาไม่เคยเป็นผุ้สักการะเจว็ด
[2:136]
จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า
เราศรัทธาในอัลลอฮ์และทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา
และที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม
อิสมาอีล
อิสหาก
ยะอ์กู๊บและลูกหลานของเขา
และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา
อีซา และที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลายจากพระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลาย
เรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา
และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์
[2:137]
แล้วหากพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว
แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับ
ข้อแนะนำที่ถูกต้อง
และหากพวกเขาผินหลังให้
แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน
แล้วอัลลอฮ์ก็จะทางให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา
และพระองค์นั้นเป็นผุ้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน
ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้
[2:138]
การย้อมของอัลลอฮ์
และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่า
อัลลอฮ์
และพวกเรา
จะเป็นผู้เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์
[2:139]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าพวกท่าน
จะโต้แย้งกับเราในเรื่องของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? ทั้งๆ
ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
และ
พระเจ้าของพวกท่าน
และบรรดาการงานของเรา
ก็ย่อมเป็นของเรา
และบรรดาการงานของพวกท่าน
ก็เป็นของพวกท่าน
และพวกเรานั้น
จะเป็นผู้มอบการอิบาดะฮ์ทั้งหลายให้แก่พระองค์เท่านั้น
[2:140]
หรือว่าพวกท่านจะกล่าวว่า
แท้จริง
อิบรอฮีม
และอิสมาอีล
และอิสหาก
และยะอ์กูบ
และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น
เป็นยิว
หรือเป็นคริสต์
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พวกท่านรู้ดี
ยิ่งกว่าอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
หรือ อัลลอฮ ? แล้วผู้ใด
จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮ์
ซึ่งมาอยู่ที่เขา
และ
อัลลอฮ์นั้น
จะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่
[2:141]
นั่นคือ
กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว
สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้
ก็ย่อมเป็นของพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้
ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวน
ถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน