PART 15
Al-Isrâ’
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[17:1]
มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน
จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ
เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา
แท้จริง
พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงเห็น
[17:2]
และเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาและเราได้ทำให้มันเป็นทางนำแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่าอย่ายึดถือผู้ใดอื่นจากข้าเป็นผู้คุ้มครองอย่างเด็ดขาด
[17:3]
โอ้
เผ่าพันธุ์ของเราได้บรรทุก
(ไว้ในเรือ)
กับนูหเอ๋ย!แท้จริงเขาเป็นบ่าวผู้กตัญญู
[17:4]
และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า
พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้งและแน่นอน
พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง
[17:5]
ดังนั้น
เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง
เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า
แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือน
และมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
[17:6]
และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา
และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน
และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย
[17:7]
หากพวกเจ้าทำความดี
พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง
และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเองดังนั้น
เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึงเพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้าและเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก
และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น
[17:8]
หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า
และหากพวกเจ้ากลับมา
(ก่อกวน) อีกเราก็โต้กลับและเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา
[17:9]
แท้จริง
อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่ง
และแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายว่า
สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่
[17:10]
และแท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโลกหน้านั้น
เราได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้วซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ
[17:11]
และมนุษย์นั้นวิงวอนขอความชั้ว
เยี่ยงการวิงวอนขอของเขาเพื่อความดี
และมนุษย์นั้นเป็นผู้รีบร้อนเสมอ
[17:12]
และเราได้ทำให้กลางคืนและกลางวันเป็นสองสัญญาณ
ดังนั้น
เราทำให้สัญญาณของกลางคืนมืดมน
และเราได้ทำให้สัญญาณของกลางวันมีแสงสว่าง
เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้าของพวกเจ้า
และเพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จำนวนปีทั้งหลายและการคำนวณและทุกๆสิ่งเราได้แจกแจงมันอย่างละเอียดแล้ว
[17:13]
และมนุษย์ทุกคน
เราได้ให้การงานของเขาแขวนติดไว้ที่ติดไว้ที่คอของเขาและในวันกิยามะอ
เราจะเอาบันทึกออกมาให้เขาพบมันในสภาพที่กางแผ่
[17:14]
เจ้าจงอ่านบันทึกของเจ้า
พอเพียงแก่ตัวเจ้าแล้ววันนี้ที่จะเป็นผู้ชำระของตัวเจ้าเอง
[17:15]
ผู้ใดได้พบแนวทางที่ถูกต้อง
แท้จริงเขาจะอยู่ในทางนั้นเพื่อตัวเขาเองและไม่มีผู้แบกภาระใดที่จะแบกภาระของผู้อื่นได้และเรามิเคยลงโทษผู้ใด
จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซู้ลมา
[17:16]
และเมื่อเราปรารถนาที่จะทำลายหมู่บ้านใด
เราได้บัญชาให้พวกฟุ่มเฟือยของมัน
แล้วพวกเขาก็ฝ่าฝืน
ดังนั้น
พระดำรัส
(การลงโทษ)
สมควรแล้วแก่มัน
ฉะนั้นเราจะได้ทำลายมันอย่างพินาศ
[17:17]
และกี่ศตวรรษแล้วหลังจากนูหที่เราได้ทำลาย
และพอเพียงกับพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงรอบรู้
ทรงเห็นความผิดของปวงบ่าวของพระองค์
[17:18]
ผู้ใดปรารถนาชีวิตชั่วคราว
(ในโลกนี้) เราก็จะเร่งให้เขาได้รับมัน
ตามที่เราประสงค์แก่ผู้ที่เราปรารถนา
แล้วเราได้เตรียมนรกไว้สำหรับเขา
เขาจะเข้าไปอย่างถูกเหยียดหยามถูกขับไส
[17:19]
และผู้ใดปรารถนาปรโลก
และขวนขวายเพื่อมันอย่างจริงจัง
โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาชนเหล่านั้น
การขวนขวายของพวกเขาจะได้รับการชมเชย
[17:20]
ทั้งหมด
เราช่วยเขาเหล่านี้และเขาเหล่าโน้น
จากการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้า
และการประทานให้ของพระเจ้าของเจ้านั้นมิถูกห้าม
(แก่ผู้ใด)
[17:21]
จงดูเถิด
!
เราได้ทำให้บางคนในหมู่พวกเขาดีเด่นกว่าอีกบางคนอย่างไร? และแน่นอนปรโลกนั้นมีฐานะยิ่งใหญ่กว่าหลายชั้น
และยิ่งใหญ่กว่าในทางดีเด่น
[17:22]
เจ้าอย่าตั้งพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นผู้ถูกเหยียดหยามถูกทอดทิ้ง
[17:23]
และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า
พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดาเมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า
ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า
อุฟ !
และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง
และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน
[17:24]
และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง
ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา
และจงกล่าวว่า
ข่าแต่พระเจ้าของฉัน
ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย
[17:25]
พระเจ้าของพวกเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า
หากพวกเจ้าเป็นคนดี
ดังนั้นพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยแก่บรรดาผู้กลับเนื้อกลับตัวอย่างแน่นอน
[17:26]
และจงให้สิทธิแก่ญาติที่ใกล้ชิด
และผู้ขัดสน
และผู้เดินทาง
และอย่าสุรุ่ยสุร่ายอย่างฟุ่มเฟือย
[17:27]
แท้จริง
บรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพวกพ้องของเหล่าชัยตอน
และชัยตอนนั้นเนรคุณต่อพระเจ้าของมัน
[17:28]
และหากเจ้าผินหลังให้พวกเขา
เพื่อแสวงหาความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้า
โดยหวังมันอยู่
ดังนั้น จงกล่าวแก่พวกเขาด้วยถ้อยคำที่นิ่มนวล
[17:29]
และอย่าให้มือของเจ้าถูกตรึงอยู่ที่คอของเจ้า
และอย่าแบมันจนหมดสิ้น
มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นผู้ถูกประนาม
เศร้าโศกเสียใจ
[17:30]
แท้จริง
พระเจ้าของเจ้าทรงเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และทรงให้คับแคบ
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้
เป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวของพระองค์
[17:31]
และพวกเจ้าอย่าฆ่าลูกๆ
ของพวกเจ้าเพราะกลัวความยากจน
เราให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาและแก่พวกเจ้าโดยเฉพาะ
แท้จริงการฆ่าพวกเขานั้นเป็นความผิดอันใหญ่หลวง
[17:32]
และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี
แท้จริงมันเป็นการลามกและทางอันชั่วช้า
[17:33]
และพวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้
เว้นแต่ด้วยความเที่ยงธรรมและผู้ใดถูกฆ่าอย่างอยุติธรรม
ดังนั้น
เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองของเขา
ฉะนั้น
อย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า
แท้จริงเขา
(ผู้ถูกอธรรม)
จะได้รับความช่วยเหลือ
[17:34]
และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้า
เว้นแต่โดยวิธีที่ดียิ่งจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ
และจงให้ครบตามสัญญา
(เพราะ)
แท้จริงสัญญานั้นจะถูกสอบสวน
[17:35]
และจงตวงให้เต็ม
เมื่อพวกเจ้าตวงและจงชั่งด้วยตาชั่งที่เที่ยงตรงนั่นเป็นการดียิ่งและเป็นกานตัดสินใจที่ดีกว่า
[17:36]
และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
แท้จริงหู
และตา
และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน
[17:37]
และอย่าเดินบนแผ่นดินอย่างเย่อหยิ่งแท้จริงเจ้าจะแยกแผ่นดินไม่ได้เลย
และจะไม่บรรลุความสูงของภูเขา
[17:38]
ทั้งหมดนั้น
ความเลวของมันเป็นที่รังเกียจยิ่ง
ณ
พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า
[17:39]
นั่นคือส่วนหนึ่งจากที่พระเจ้าของเจ้าทรงประทานฮิกมะฮแก่เจ้าและเจ้าอย่าตั้งพระเจ้าอื่นใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์มิฉะนั้นเจ้าจะถูกโยนลงในนรกญะฮันนัม
เป็นผู้ถูกครหา
ถูกขับไล่
[17:40]
พระเจ้าของพวกเจ้าทรงเลือกลูกผู้ชายให้แก่พวกเจ้า
และพระองค์ทรงเลือกเอามลาอิกะฮ์เป็นลูกผู้หญิงกระนั้นหรือ
? แท้จริงพวกเจ้านั้นกำลังกล่าวคำพูดที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน
[17:41]
และโดยแน่นอน
เราได้ชี้แจงในอัลกุรอานนี้เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก
แต่มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขา
นอกจากการเตลิดหนี
[17:42]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หากมีพระเจ้ามากหลายคู่เคียงกับพระองค์เช่นที่พวกเขากล่าวเมื่อนั้นแน่นอนพวกมันจะแสวงหาทางไปสู่พระผู้ทรงครองบัลลังก์
[17:43]
มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์
และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากที่พวกเขากล่าว
ทรงสูงส่งอย่างใหญ่หลวง
[17:44]
ชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินและที่อยู่ในนั้นสดุดีสรรเสริญแด่พระองค์
และไม่มีสิ่งใดเว้นแต่จะสดุดีด้วยการสรรเสริญพระองค์แต่ว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจคำสดุดีของพวกเขา
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงหนักแน่น
ผู้ทรงอภัยเสมอ
[17:45]
และเมื่อเจ้าอ่านอัลกุรอาน
เราได้กางม่านที่ถูกซ่อนไว้
กั้นระหว่างเจ้าและบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก
[17:46]
และเราได้ทำฝาปิดบนหัวใจของพวกเขาเพื่อมิให้พวกเขาเข้าใจมัน
(อัลกุรอาน)
และในหูของพวกเขานั้นหนวกและเมื่อเจ้ากล่าวถึงพระเจ้าของเจ้าในอัลกุรอานเพียงองค์เดียว
พวกเขาก็ผินหลังของพวกเขาเตลิดหนี
[17:47]
เรารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขาฟังมัน
ขณะที่พวกเขาเงี่ยหูฟังเจ้า
และขณะที่พวกเขาปรึกษากันลับๆ
โดยพวกอธรรมกล่าวว่าพวกท่านมิได้ตามผู้ใด
นอกจากผู้ถูกเวทมนต์เท่านั้น
[17:48]
จงดูเถิด
!
พวกเขายกอุทาหรณ์แก่เจ้าอย่างไรดังนั้นพวกเขาได้หลงแล้ว
พวกเขาไม่สามารถหาทางใดๆ
ได้
[17:49]
และพวกเขากล่าวว่า
เมื่อเราเป็นกระดูกและร่วนยุ่ยแล้ว
แท้จริงเราจะถูกให้ฟื้นขึ้นเพื่อกำเนิดใหม่แน่หรือ
?
[17:50]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หากพวกท่านเป็นหินหรือเหล็ก
[17:51]
หรือกำเนิดใดจากที่แข็งยิ่งในหัวอกของพวกท่านก็ตามดังนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า
ผู้ใดเล่าจะให้เรากลับขึ้นมาอีก
? จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดพระองค์ผู้ทรงบังเกิดพวกท่านเป็นครั้งแรก
แล้วพวกเขาก็สั่นศีรษะของพวกเขาแก่เจ้าพลางกล่าวว่าเมื่อใดเล่า
? จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หวังว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว
[17:52]
วันที่พระองค์จะทรงเรียกร้องพวกเจ้าและพวกเจ้าจะตอบสนองด้วยการสรรเสริญพระองค์และพวกเจ้าจะนึกว่ามิได้อยู่
(ในโลกนี้)
เว้นแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
[17:53]
และจงกล่าวแก่ปวงบ่าวของข้าที่พวกเขากล่าวแต่คำพูดที่ดียิ่งว่า
แท้จริงชัยตอนนั้นมันยุแหย่ระหว่างพวกเขา
แท้จริงชัยตอนนั้นเป็นศัตรูที่เปิดเผยของมนุษย์
[17:54]
พระเจ้าของพวกเจ้าทรงรู้จักพวกเจ้าดียิ่ง
หากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงเมตตาพวกเจ้า
หรือหากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงลงโทษพวกเจ้า
และเรามิได้ส่งเจ้ามาเป็นผู้คุ้มครองพวกเขาแต่ประการใด
[17:55]
และพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และโดยแน่นอนเราได้เลือกนบีบางคนให้ดีเด่นกว่าอีกบางคนและเราได้ให้ซะบูรแก่ดาวูด
[17:56]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านจงเรียกร้องบรรดาสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้างอื่นจากพระองค์4
พวกมันไม่มีอำนาจที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากและเปลี่ยนแปลงมันจากพวกท่านได้
[17:57]
เหล่านั้นที่พวกเขาวิงวอนนั้น
พวกมันก็ยังหวังที่จะหาทางเข้าสู่พระเจ้าของพวกมันว่า
ผู้ใดในหมู่พวกมันจะเข้าใกล้ที่สุดและพวกมันยังหวังในความเมตตาของพระองค์
และกลัวการลงโทษของพระองค์
แท้จริงการลงโทษของพระเจ้าของเจ้านั้นควรน่าระวัง
[17:58]
และไม่มีหมู่บ้านใดเว้นแต่เราเป็นผู้ทำลายมันก่อนถึงวันกิยามะฮ์
หรือเป็นผู้ลงโทษมันด้วยการลงโทษอย่างสาหัสนั่นมันได้ถูกบันทึกไว้แล้วในบันทึก
[17:59]
ไม่มีสิ่งใดยับยั้งเราโดยที่เราจะส่งสัญญาณต่าง
ๆ
เว้นแต่ว่าพวกสมัยก่อน
ๆ ได้ปฏิเสธมันและเราได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกษะมูด
แต่พวกเขาได้ทารุณมัน
และเรามิได้ส่งสัญญาณต่างๆ
เพื่ออื่นใด
เว้นแต่เพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น
[17:60]
และจงรำลึกเมื่อเรากล่าวแก่เจ้าว่า
แท้จริงพระเจ้าของเจ้าทรงรอบรู้ในเรื่องของมนุษย์และมิได้ทำให้การฝันซึ่งเราได้เจ้าเห็นเพื่ออื่นใด
เว้นแต่เพื่อเป็นการทดสอบแก่มนุษย์และต้นไม้
(ซักกูม) ที่ถูกสาปในอัลกุรอาน
และเราได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัว
ดังนั้น
มันมิได้เพิ่มสิ่งใดแก่พวกเขา
นอกจากการดื้อรั้นมาก
[17:61]
และจงรำลึกเมื่อเรากล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงสุญูดต่ออาดัมดังนั้นพวกเขาได้สุญูดเว้นแต่อิบลีส
มันกล่าวว่า
ฉันจะสุญูดต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้างจากดินกระนั้นหรือ
?
[17:62]
มันกล่าวว่า
พระองค์ทรงเห็นแล้วมิใช่หรือ
เขาผู้นี้ที่พระองค์ทรงให้เกียรติมากกว่าฉันหากพระองค์ทรงโปรดประวิงเวลาแก่ฉันจนถึงวันกิยามะฮ์
แน่นอนฉันจะทำลายล้างลูกหลานของเขาให้หมดสิ้น
เว้นแต่เพียงเล็กน้อย
[17:63]
พระองค์ตรัสว่า
เจ้าจงไปให้พ้น
!ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเขาปฏิบัติตามเจ้า
แท้จริงนรกคือการตอบแทนของพวกเจ้า
เป็นการตอบแทนที่สมบูรณ์
[17:64]
และเจ้าจงยั่วยวนผู้ที่เจ้าสามารถทำให้เขาหลงในหมู่พวกเขาด้วยเสียงของเจ้าและชักชวนพวกเขาให้เห็นพ้องด้วยด้วยม้าของเจ้าและด้วยเท้าของเจ้า
และจงร่วมกับพวกเขาในทรัพย์สินและลูกหลาน
และจงสัญญาพวกเขาและชัยตอนมิได้ให้สัญญาใดๆ
แก่พวกเขา
เว้นแต่เป็นการหลอกลวงเท่านั้น
[17:65]
แท้จริงปวงบ่าวของข้านั้น
เจ้าไม่มีอำนาจใดๆ
เหนือพวกเขา
และพอเพียงแล้วที่พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง
[17:66]
พระเจ้าของพวกเจ้าคือผู้ทรงให้เรือแล่นตามท้องทะเล
เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาแก่พวกเจ้าเสมอ
[17:67]
และเมื่อทุกขภัยประสบแก่พวกเจ้าในท้องทะเล
ผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขอก็จะสูญหายไปเว้นแต่พระองค์เท่านั้นต่อมาเมื่อพระองค์ทรงช่วยให้พวกเจ้ารอดพ้นขึ้นบก
พวกเจ้าก็หันหลังออกไป
และมนุษย์นั้นเป็นผู้เนรคุณเสมอ
[17:68]
พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ
หากพระองค์จะทรงให้ริมฝั่งนั้นถล่มลงไปกับพวกเจ้าหรือจะทรงส่งลมหอบกรวดกระหน่ำลงมาใส่พวกเจ้าแล้วพวกเจ้าจะไม่พบผู้ใดเป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้าเลย
[17:69]
หรือพวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือ
หากพระองค์จะทรงนำพวกเจ้ากลับไปในนั้นอีกครั้งหนึ่ง
แล้วทรงส่งลมพายุร้ายกระหน่ำพวกเจ้า
แล้วให้พวกเจ้าจมน้ำตายเพราะพวกเจ้าเนรคุณ
หลังจากนั้นพวกเจ้าก็จะไม่พบผู้ใดแก้แค้นแทนเรา
[17:70]
และโดยแน่นอน
เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัมและเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล
และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา
และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่
[17:71]
วันที่เราจะเรียกร้องมหาชนทั้งหลายพร้อมด้วยบันทึกของพวกเขา
ดังนั้นผู้ใดที่บันทึกของเขาถูกยื่นให้ทางขวาของเขา
เขาเหล่านั้นก็จะได้อ่านบันทึกของพวกเขา
โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแม้แต่น้อย
[17:72]
และผู้ใดบอดในโลกนี้ดังนั้นเขาก็จะบอดในปรโลกด้วย
และหลงทางอย่างไกลยิ่ง
[17:73]
และหากว่าพวกเขาจะทำให้เจ้าหลงไปจากที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้า
เพื่อเจ้าจะได้กุสิ่งอื่นขึ้นแก่เราและเมื่อนั้นแหละพวกเขาก็จะคบเจ้าเป็นเพื่อนสนิท
[17:74]
และหากว่าเรามิได้ให้เจ้าตั้งมั่นอยู่บนความจริงแล้ว
โดยแน่นอนยิ่ง
เจ้าอาจจะโน้มเอียงไปทางพวกเขาบ้างเล็กน้อย
[17:75]
ถ้าเช่นนั้น
แน่นอนเราก็จะให้เจ้าลิ้มรส
(การลงโทษ)
สองเท่าในชีวิตนี้
และสาองเท่าเมื่อยามตายแล้วเจ้าจะไม่พบผู้ช่วยเหลือแก่เจ้าให้พ้นจาก
(การลงโทษของ)
เรา
[17:76]
และหากพวกเขายุแหย่ให้เจ้าออกจากแผ่นดิน
เพื่อขับไล่เจ้าออกไป
และเมื่อนั้นพวกเขาจะไม่พำนักอยู่นานหลังจากเจ้า
(ออกไปแล้ว)
เว้นแต่ช่วงเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[17:77]
นี่คือแนวทางของผู้ที่เราได้ส่งเขามาก่อนเจ้าจากบรรดาร่อซู้ลของเรา
และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงในแนวทางของเราแต่ประการใด
[17:78]
จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ
และการอ่านยามรุ่งอรุณ
จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ
[17:79]
และจากบางส่วนของกลางคืนเจ้าจงตื่นขึ้นมาละหมาดในเวลาของมัน
เป็นการสมัครใจสำหรับเจ้า
หวังว่าพระเจ้าของเจ้าจะทรงให้เจ้าได้รับตำแหน่งที่ถูกสรรเสริญ
[17:80]
และจงกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ได้ทรงโปรดนำข้าพระองค์เข้าตามทางเข้าที่ชอบธรรม
และได้ทรงโปรดนำข้าพระองค์ออกตามทางออกที่ชอบธรรม
และทรงโปรดให้ข้าพระองค์มีอำนาจที่เข้มแข็ง
ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์
[17:81]
และจงกล่าวเถิด
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป
แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ
[17:82]
และเราได้ให้ส่วนหนึ่งจากอัลกุรอานลงมาซึ่งเป็นการบำบัดและความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธาและมันมิได้เพิ่มอันใดแก่พวกอธรรม
นอกจากการขาดทุนเท่านั้น
[17:83]
และเมื่อเราให้ความโปรดปรานแก่มนุษย์เขาเหินห่างและปลีกตัวออกไปข้าง
ๆ และเมื่อความชั่วประสบแก่เขาเขาก็เบื่อหน่ายหมดอาลัย
[17:84]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ทุกคนจะกระทำตามรูปแบบของเขาฉะนั้น
พระเจ้าของพวกท่านทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่เขาได้รับแนวทางอย่างถูกต้อง
[17:85]
และพวกเขาจะถามเจ้า
เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า
เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน
และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ
เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[17:86]
และหากเราประสงค์
แน่นอนเราจะเอาสิ่งซึ่งเราได้วะฮีย์แก่เจ้าไปเสียและเจ้าจะไม่พบผู้คุ้มครองคนใดเหนือเราในเรื่องนี้สำหรับเจ้า
[17:87]
แต่ว่ามันเป็นพระเมตตาจากพระเจ้าของเจ้าแท้จริงความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก
[17:88]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
แน่นอนหากมนุษย์และญินรวมกันที่จะนำมาเช่นอัลกุรอานนี้
พวกเขาไม่อาจจะนำมาเช่นนั้นได้
และแม้ว่าบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่อีกบางคนก็ตาม
[17:89]
และโดยแน่นอนเราได้อธิบายแก่มนุษย์แล้ว
จากทุกอุทาหรณ์ในอัลกุรอานนี้แต่ส่วนมากของมนุษย์ปฏิเสธไม่ยอมรับนอกจากการไม่ศรัทธา
[17:90]
และพวกเขากล่าวว่า
เราจะไม่ศรัทธาต่อท่าน
จนกว่าท่านจะทำให้แผ่นดินแตกออกเป็นลำธารแก่เรา
[17:91]
หรือให้ท่านมีส่วนอินทผลัม
และองุ่นให้มันแยกเป็นลำน้ำหลายสาย
พวยพุ่งออกมาท่านกลางมัน
[17:92]
หรือท่านทำให้ชั้นฟ้าหล่นลงมาบนพวกเราเป็นเสี่ยงๆ
ตามที่ท่านอ้าง
หรือนำอัลลอฮ์และมลาอิกะฮ์มาให้เราเห็นต่อหน้า
[17:93]
หรือให้ท่านมีบ้านที่ประดับประดาไว้หนึ่งหลัง
หรือท่านขึ้นไปบนชั้นฟ้า
และเราจะไม่ศรัทธาสำหรับการขึ้นไปของท่านจนกว่าท่านจะนำคัมภีร์เล่มหนึ่งลงมาให้เราได้อ่าน
จงกล่าวเถิด
มหาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าของฉัน
ฉันมิได้เป็นอื่นใด
นอกจากเป็นมนุษย์
เป็นร่อซู้ล
[17:94]
และไม่มีสิ่งใดที่จะห้ามมนุษย์ให้พวกเขาศรัทธา
เมื่อแนวทางที่ถูกต้องมายังพวกเขาแล้ว
นอกจากพวกเขาจะกล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งมนุษย์ธรรมดาเป็นร่อซู้ลกระนั้นหรือ?
[17:95]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หากมลาอิกะฮ์เดินสัญจรอย่างสงบในแผ่นดิน
แน่นอนเราจะส่งมะลักหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า
เป็นร่อซู้ลแก่พวกเขา
[17:96]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน
ระหว่างฉันและพวกท่านแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ทรงมองเห็นปวงบ่าวของพระองค์
[17:97]
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงแนะแนวทาง
เขาก็จะเป็นผู้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้หลงทางแล้ว
ดังนั้นสูเจ้าจะไม่พบอีกเลยสำหรับพวกเขา
ซึ่งบรรดาผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์และเราจะชุมนุมพวกเขาในวันกิยามะฮ์
ถูกลากคว่ำหน้าโดยมีสภาพเป็นคนตาบอด
เป็นใบ้และหูหนวก
ที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัมทุกครั้งที่มันมอดเราได้เพิ่มการเผาไหม้ลุกโชนแก่พวกเขา
[17:98]
นั่นคือการตอบแทนของพวกเขา
โดยแน่นอน พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรา
และพวกเขากล่าวว่าเมื่อเราเป็นกระดูกและร่วนยุ่ยแล้ว
แท้จริงเราจะถูกให้ฟื้นขึ้นเพื่อกำเนิดใหม่ได้อย่างไร
?
[17:99]
พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
แท้จรองอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพที่จะสร้างเยี่ยงพวกเขา
และทรงกำหนดเวลาหนึ่งสำหรับพวกเขา
ไม่มีการสงสัยใดๆ
ในนั้น
แต่พวกอธรรมปฏิเสธไม่ยอมรับนอกจากการไม่ศรัทธา
[17:100]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
หากพวกท่านครอบครองขุมแห่งความเมตตาของพระเจ้าของฉันเมื่อนั้นพวกท่านก็จะหน่วงเหนี่ยวมันไว้เพราะกลัวการบริจาค
และมนุษย์นั้นเป็นคนตระหนี่
[17:101]
และโดยแน่นอน
เราได้ให้แก่มูซาสัญญาณต่างๆ
อันแจ่มชัด 9
ประการดังนั้น
เจ้าจงถามวงศ์วานของอิสรออีลเมื่อเขา
(มูซา)
มายังพวกเขาฟิรเอาน์ได้พูดกับเขาว่า
โอ้ มูซาเอ๋ย
แท้จริงฉันคิดว่าท่านถูกเวทมนต์อย่างแน่นอน
[17:102]
เขากล่าวว่า
โดยแน่นอนท่านย่อมรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดประทานสิ่งเหล่านี้
นอกจากพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเพื่อเป็นพยาน
และแท้จริงฉันคิดว่าแน่นอนท่าน
โอ้ฟิรเอาน์เอ๋ย
เป็นผู้หายนะแล้ว
[17:103]
ดังนั้น
เขา
(ฟิรเอาน์)
ต้องการที่จะย้ายพวกเขาออกไปจากแผ่นดินฉะนั้น
เราจึงให้เขาจมน้ำตายและผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาทั้งหมด
[17:104]
และเราได้กล่าวแก่วงศ์วานของอิสรออีลหลังจากเขาว่า
จงพำนักอยู่ในดินแดนนี้
ดังนั้นเมื่อสัญญาแห่งวันอาคิเราะฮได้มาถึง
เราจะนำพวกเจ้าทั้งหมดมารวมไว้ด้วยกัน
[17:105]
และด้วยความจริง
เราได้ประทานมัน
(อัลกุรอาน)
ลงมา
และด้วยความจริงมันได้ลงมาและเรามิได้ส่งเจ้าเพื่ออื่นใด
นอกจากเพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดี
และเป็นผู้ตักเตือน
[17:106]
และอัลกุรอาน
เราได้แยกมันไว้อย่างชัดเจน
เพื่อเจ้าจะได้อ่านมันแก่มนุษย์อย่างช้าๆ
และเราได้ประทานมันลงมาเป็นขั้นตอน
[17:107]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านจะศรัทธาในมันหรือไม่ศรัทธาก็ตามแท้จริง
บรรดาผู้ได้รับความรู้ก่อนหน้ามันนั้นเมื่อมันได้ถูกอ่านแก่พวกเขาพวกเขาจะหมอบราบลง
ใบหน้าจรดพื้นเพื่อสุญด
[17:108]
และพวกเขาจะกล่าวว่า
มหาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้าของเรา
สัญญาของพระเจ้าของเรานั้นแน่นอน
ย่อมถูกปฏิบัติให้ครบถ้วน
[17:109]
และพวกเขาจะหมอบราบลงใบหน้าจรดพื้นพลางร้องไห้และมันจะเพิ่มการสำรวมแก่พวกเขา
[17:110]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านจงเรียกอัลลอฮ์หรือจงเรียกอัรเราะห์มานเถิด
อันใดก็ตามที่เจ้าเรียก
สำหรับพระองค์นั้นพระนามสวยงามยิ่งและอย่ายกเสียงดังในเวลาละหมาดของเจ้า
และอย่าลดให้ค่อยเช่นกัน
แต่จงแสวงหาทางระหว่างนั้น
(ปานกลาง)
[17:111]
และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์
ซึ่งไม่ทรงตั้งพระบุตรและไม่มีภาคีใดๆ
ร่วมกับพระองค์ในอำนาจ
และไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ
แก่พระองค์ให้พ้นจากความต่ำต้อยและจงให้ความเกรียงไกรแด่พระองค์อย่างกึกก้อง
Al-Kahf
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[18:1]
บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ผู้ทรงประทานคัมภีร์แก่บ่าวของพระองค์และพระองค์มิได้ทรงทำให้มันมีการบิดเบือนแต่อย่างใด
[18:2]
เป็นคัมภีร์ที่เที่ยงธรรมเพื่อเตือนสำทับถึงการลงโทษอย่างสาหัสจากพระองค์
และเพื่อแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่กระทำความดีทั้งหลายว่า
สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับรางวัลอันดีงาม
(คือสวนสวรรค์)
[18:3]
เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
[18:4]
และเพื่อเตือนสำทับบรรดาผู้ที่กล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงตั้งพระบุตรขึ้น
[18:5]
พวกเขาไม่มีความรู้ใดๆ
ในเรื่องนี้
และบรรพบุรุษของพวกเขาก็เช่นกันเป็นคำกล่าวที่น่าเกลียดยิ่งที่ออกจากปากของพวกเขา
โดยที่พวกเขามิได้กล่าวอันใดนอกจากความเท็จ
[18:6]
ดังนั้น
บางทีเจ้าอาจเป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้าด้วยความเสียใจ
เนื่องจากการผินหลังของพวกเขา
หากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้
[18:7]
แท้จริง
เราได้ทำให้สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินเป็นที่ประดับสำหรับมันเพื่อเราจะทดสอบพวกเขาว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเขามีผลงานที่ดีเยี่ยม
[18:8]
และแท้จริง
แน่นอนเราเป็นผู้ทำให้สิ่งที่อยู่บนพื้นดินเป็นผุยผงแห้งแล้ง
[18:9]
เจ้าคิดหรือว่า
ชาวถ้ำและแผ่นจารึกเป็นส่วนหนึ่งจากสัญญาณมหัศจรรย์ของเรากระนั้นหรือ
?
[18:10]
จงรำลึกขณะที่พวกชายหนุ่มหลบเข้าไปในถ้ำแล้วพวกเขากล่าวว่า
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ขอพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เราและทรงทำให้การงานของเราอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[18:11]
แล้วเราได้อุดหูพวกเขา
(ให้นอนหลับ)
ในถ้ำ
เป็นเวลาหลายปี
[18:12]
แล้วเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้น
เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดในสองพวกนั้นนับเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ได้ถูกต้องกว่า
[18:13]
เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง
แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา
และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา
[18:14]
และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขาขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่า
พระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเราจะไม่วิงวอนพระเจ้าอื่น
จากพระองค์
มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน
[18:15]
กลุ่มชนของเราเหล่านั้นได้ยึดเอาพระเจ้าต่างๆ
อื่นจากพระองค์
ทำไมพวกเขาจึงไม่นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายืนยันเล่า
ดังนั้นจะมีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์
[18:16]
และเมื่อพวกเจ้าปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว
ดังนั้นพวกเจ้าก็จงหลบเข้าไปในถ้ำ
พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า
และจะทรงทำให้กิจการของพวกเจ้าดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย
[18:17]
และเจ้าจะเห็นดวงอาทิตย์
เมื่อมันขึ้น
มันจะคล้อยจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวา
และเมื่อมันตก
มันจะเบนออกไปทางซ้าย
โดยพวกเขาอยู่ในที่โล่งกว้างของมัน
นั่นคือส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงแนะทางที่ถูกต้องแก่เขา
เขาก็คือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาหลง
เขาจะไม่พบ
[18:18]
และเจ้าคิดว่าพวกเขาตื่นทั้งๆ
ที่พวกเขาหลับและเราพลิกพวกเขาไปทางขวาและทางซ้ายและสุนัขของพวกเขาเหยียดขาหน้าทั้งสองของมันไปทางปากถ้ำ
หากเจ้าจ้องมองพวกเขา
แน่นอนเจ้าจะหันหลังเตลิดหนีจากพวกเขา
และเจ้าจะเต็มไปด้วยความตกใจเพราะพวกเขา
[18:19]
และในทำนองนั้นเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้นเพื่อพวกเขาจะถามซึ่งกันและกัน
คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า
พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด
? พวกเขากล่าวว่า
เราพักอยู่วันหนึ่งหรือส่วนหนึ่งของวันพวกเขากล่าวว่า
พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านทรงทราบดีว่า
พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด
ดังนั้นจงส่งคนหนึ่งในหมู่พวกท่านไปในเมือง
พร้อมด้วยเหรียญเงินนี้ของพวกท่าน
เพื่อเลือกดูอาหารที่ดียิ่ง
และให้เขาซื้อมาให้แก่พวกท่าน
และให้เขาประพฤติอย่างสุภาพ
และอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกท่าน
[18:20]
แท้จริงพวกเขานั้น
หากพวกเขารู้เรื่องของพวกท่าน
พวกเขาจะเอาก้อนหินขว้างพวกท่านหรือนำพวกท่านกลับไปนับถือศาสนาของพวกเขา
และเมื่อนั้นพวกท่านจะไม่บรรลุความสำเร็จเลย
[18:21]
และในทำนองนั้นเราได้เปิดเผยแก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง
และแท้จริงวันสิ้นโลกนั้นมีจริง
ไม่ต้องสงสัยเลย
เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันในหมู่พวกเขาถึงเรื่องของพวกเขา
(ชาวถ้ำ)
แล้วพวกเขากล่าวว่า
จงสร้างอาคารที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา
พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาทรงรู้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของพวกเขา
ฝ่ายบรรดาผู้มีเสียงข้างมากในเรื่องของพวกเขากล่าวว่า
แน่นอนเราจะสร้างมัสยิดที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา
[18:22]
พวกเขาจะกล่าวกันว่า
ชาวถ้ำนั้นมีสามคน
ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา
และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า
มีห้าคน
ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา
ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้
และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน
และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา
จงกล่าวเถิดพระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา
ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย
ดังนั้น
เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา
นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง
และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย
[18:23]
และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่า
แท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้
[18:24]
เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์
จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม
และจงกล่าวว่า
บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ฉัน
[18:25]
และพวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี
และเพิ่มอีกเก้าปี
[18:26]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งว่าพวกเขาพำนักอยู่นานเท่าใด
สำหรับพระองค์นั้นทรงรู้สิ่งพ้นญาณวิสัย
ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินพระองค์ทรงเห็นชัดและทรงฟังชัดทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีผู้คุ้มครองใดสำหรับพวกเขาอื่นจากพระองค์พระองค์ไม่ทรงรับรู้ผู้ใด
เข้าร่วมภาคีในการปกครองของพระองค์
[18:27]
และจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮีย์แก่เจ้า
จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า
ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำกล่าวของพระองค์และเจ้าจะไม่พบที่พึ่งใด
ๆ
เลยนอกจากพระองค์
[18:28]
และจงอดทนต่อตัวของเจ้า
ร่วมกับบรรดาผู้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
ทั้งยามเช้าและยามเย็นโดยปารถนาความโปรดปรานของพระองค์
และอย่าให้สายตาของเจ้าหันเหออกไปจากพวกเขา
ขณะที่เจ้าประสงค์ความสวยงามแห่งชีวิตของโลกนี้
แลเจ้าอย่าเชื่อฟังผู้ที่เราทำให้หัวใจของเขาละเลยจากการรำลึกถึงเรา
และปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา
และกิจการของเขาพินาศสูญหาย
[18:29]
และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า
ดังนั้น
ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา
และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ
แท้จริง
เราได้เตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกอธรรมซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา
และถ้าพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ
ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงเดือดลวกใบหน้า
มันเป็นน้ำดื่มที่ชั่วช้าและเป็นที่พำนักที่เลวร้าย
[18:30]
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
เราจะไม่ให้การตอบแทนของผู้กระทำความดีสูญหายอย่างแน่นอน
[18:31]
ชนเหล่านั้นแหละ
สำหรับพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์หลากหลายเป็นที่พำนัก
มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน
ณ
เบื้องล่างของพวกเขา
ในสวนสวรรค์พวกเขาจะได้ประดับกำไลทอง
และสวมอาภรณ์สีเขียวทำด้วยผ้าไหมละเอียดและผ้าไหมหยาบนอนเอกเขนกบนเตียงในสวรรค์
เป็นการตอบแทนที่ดียิ่งและเป็นพำนักที่ดีเยี่ยม
[18:32]
และจงเปรียบเทียบอุทาหรณ์หนึ่งแก่พวกเขา
คือชายสองคนเราไให้สวนองุ่นสองแห่งแก่คนหนึ่งในสองคน
และเราได้ล้อมสวนทั้งสองไว้ด้วยต้นอินทผลัม
และเราได้ทำให้มีพืชพันธุ์ระหว่างสวนทั้งสองด้วย
[18:33]
แต่ละสวนทั้งสองแห่งนี้ได้ออกผลิตผลของมันอย่างสมบูรณ์
ไม่เคยลดน้อยแต่อย่างใดและเราได้ให้ลำน้ำไหลท่ามกลางสวนทั้งสอง
[18:34]
และเขาได้รับผลิตผล
ดังนั้นเขาจึงกล่าวแก่เพื่อนของเขา
ขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า
ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่าน
และมีข้าบริพารมากกว่า
[18:35]
เขาได้เข้าไปในสวนของเขาโดยที่เขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเขาเอง
เขากล่าวว่า
ฉันไม่คิดว่าสวนนี้จะพินาศไปได้เลย
[18:36]
และฉันไม่คิดว่าวันอวสานของโลกจะมีขึ้น
และหากว่าฉันจะถูกกลับไปยังพระผู้เป็นเจ้าของฉัน
แน่นอน
ฉันจะพบที่กลับที่ดียิ่งขึ้นกว่านี้
[18:37]
เพื่อนของเขากล่าวแก่เขาขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ว่า
ท่านเนรคุณต่อพระผุ้สร้างท่านจากดิน
แล้วจากเชื้ออสุจิ
แล้วพระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นคนโดยสมบูรณ์
กระนั้นหรือ?
[18:38]
แต่ฉันเชื่อว่าพระองค์คืออัลลอฮ์
พระผู้เป็นเจ้าของฉันและฉันจะไม่ตั้งผู้ใดร่วมเป็นภาคีกับผู้เป้นเจ้าของฉันเลย
[18:39]
และทำไมเล่าเมื่อท่านเข้าไปในสวนของท่าน
ท่านควรกล่าวว่า
สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์
(ย่อมเกิดขึ้น)
ไม่มีพลังใด
ๆ (ที่จะช่วยเราได้)
นอกจากที่อัลลอฮ์
หากท่านเห็นว่าฉันด้อยกว่าท่านทางด้านทรัพย์สมบัติและลูกหลาน
[18:40]
ดังนั้น
บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงประทานให้ฉันดีกว่าสวนของท่าน
และจะทรงส่งสายฟ้าฟาดลงที่สวนของท่าน
แล้วมันจะกลายเป็นที่ดินโล่งเตียน
[18:41]
หรือน้ำของมันกลายเป็นเหือดแห้งแล้วท่านไม่สามารถจะพบมันได้เลย
[18:42]
และผลิตผลของเขาถูกทำลายหมด
แล้วเขาก็ประกบฝ่ามือทั้งสองด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เขาก็ประกบฝ่ามือทั้งสองด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เขาได้จับจ่ายไป
และมันพังพาบลงมา
และเขากล่าวว่า
โอ้ ! หากฉันไม่เอาผู้ใดมาตั้งภาคีกับพระผู้เป็นเจ้าของฉัน
[18:43]
และเขาไม่มีพรรคพวกจะช่วยเขาได้
นอกจากอัลลอฮ์
และเขาก็มิได้เป็นผู้ช่วยเหลือ
[18:44]
ด้วยเหตุนั้น
การคุ้มครองช่วยเหลือเป็นของอัลลอฮ์ผู้ทรงสัจจะ
และพระองค์ทรงดียิ่งในการตอบแทนและทรงดียิ่งในบั้นปลาย
[18:45]
และจงเปรียบอุทาหรณ์การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้แก่พวกเขา
ประหนึ่งน้ำที่เราหลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า
ดังนั้นพืชผลในแผ่นดินก็จะคลุกเคล้าไปกับน้ำ
แล้วมันก็แห้งกรังเป็นเศษเป็นชิ้นซึ่งลมจะพัดมันให้ปลิวว่อน
และอัลลอฮ์เป้นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[18:46]
ทรัพย์สมบัติและลูกหลานคือ
เครื่องประดับแห่งการดำรงชีวิตในโลกนี้และความดีทั้งหลายที่จีรังนั้น
เป็นการตอบแทนที่ดียิ่ง
ณ
ที่พระเจ้าของเจ้า
และเป็นความหวังที่ดียิ่ง
[18:47]
และ
(จงรำลึก)
วันที่เราให้เทือกเขาเคลื่อนย้ายไป
และเจ้าจะเห็นแผ่นดินราบเรียบและเราจะชุมนุมพวกเขา
ดังนั้น
เราจะไม่ให้ผู้ใดออกไปจากพวกเขาเลย
[18:48]
และพวกเขาจะถูกนำมารวมเป็นแถวต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า
โดยแน่นอน
พวกเจ้าจะถูกนำมายังเราดั่งที่เราให้บังเกิดพวกเจ้าในครั้งแรกแต่พวกเจ้าอ้างว่าเราไม่ได้กำหนดเวลาสำหรับพวกเจ้า
[18:49]
และบันทึกจะถูกวางไว้
ดังนั้น เจ้าจะเห็นผู้กระทำผิดทั้งหลายหวั่นกลัวสิ่งที่มีอยู่ในบันทึกและพวกเขาจะกล่าวว่า
โอ้ความวิบัติของเราเอ๋ย!
บันทึกอะไรกันนี่
มันมิได้ละเว้นสิ่งเล็กน้อยและสิ่งใหญ่โตเลย
เว้นแต่ได้บันทึกไว้ครบถ้วน
และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้าและพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย
[18:50]
และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงสุญูดคารวะต่ออาดัมพวกเขาก็แสดงคารวะเว้นแต่อิบลิส
มันอยู่ในจำพวกญิน
ดังนั้น
มันจึงฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าของมัน
แล้วพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมัน
เป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้ากระนั้นหรือหรือ? ทั้งๆ
ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า
มันช่างชั่วช้าแท้ๆ
ในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม
[18:51]
ข้ามิได้เอาพวกมันมาเป็นพยาน
ในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
แม้ในการสร้างตัวพวกมันเอง
และข้ามิได้เอาพวกที่ทำให้ผู้อื่นหลงผิดมาให้ความช่วยเหลือ
[18:52]
และ
(จงรำลึก)
วันที่พระองค์ตรัสว่าพวกเจ้าจงเรียกคู่ภาคีของข้าที่พวกเจ้ากล่าวอ้างนั้นแล้วพวกเขาก็ร้องขอให้พวกมันช่วยเหลือ
แต่พวกมันจะไม่ตอบรับพวกเขา
และเราได้กำหนดให้มีแหล่งพินาศระหว่างพวกมันเอง?
[18:53]
และพวกกระทำผิดมองเห็นไฟนรกพวกเขาก็รู้ว่า
แน่นอนพวกตนจะตกลงไปในนั้นและพวกเขาจะไม่พบทางรอดจากมันไปได้เลย
[18:54]
และเราได้ชี้แจงแก่มนุษย์ในอัลกุรอานนี้แต่ละตัวอย่างแต่มนุษย์นั้นชอบโต้เถียงในเรื่องต่างๆ
เป็นส่วนใหญ่
[18:55]
และไม่มีสิ่งใดที่จะยับยั้งมนุษย์จากการศรัทธา
เมื่อแนวทางที่ถูกต้องได้มายังพวกเขา
และการขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกเขา
เว้นแต่จะให้แบบอย่างแต่เก่าก่อน
(การลงโทษ)
มายังพวกเขาหรือจะให้การลงโทษมายังพวกเขาต่อหน้าต่อตา
[18:56]
และเรามิได้ส่งบรรดาร่อซู้ลมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะโต้แย้งด้วยความเท็จ
เพื่อทำลายล้างสัจธรรมด้วยมัน
(ความเท็จ)
และพวกเขายึดเอาโองการทั้งหลายของข้าและสิ่งที่ถูกตักเตือนเป็นการล้อเลียน
[18:57]
และผู้ใดจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ถูกตักเตือนให้รำลึก
ด้วยโองการทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าของเขา
แล้วเขาก็หันหลังห่างออกไป
แล้วลืมสิ่งที่มือทั้งสองของเขาประกอบไว้แท้จริงเราได้ทำฝาปิดบนหัวใจของพวกเขา
ในการที่พวกเขาจะเข้าใจมัน
และในหูของพวกเขานั้นหนวก
และถ้าเจ้าเรียกร้องพวกเขาไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง
พวกเขาจะก็ไม่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องนั้นเลย
[18:58]
และพระผุ้เป็นเจ้าของเจ้าคือผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
หากพระองค์จะทรงเอาโทษพวกเขา
ตามที่พวกเขาได้สะสมเอาไว้แน่นอนพระองค์จะทรงเร่งการลงโทษแก่พวกเขาแต่สำหรับพวกเขามีกำหนดเวลา
ซึ่งพวกเขาจะไม่พบที่พึ่งอื่นใดนอกจากพระองค์
[18:59]
และเมืองเหล่านั้น
เราได้ทำลายพวกเขาเมื่อพวกเขาอยุติธรรม
และเราได้กำหนดกำหนดเวลาสำหรับความพินาศของพวกเขาไว้แล้ว
[18:60]
และจงรำลึกเมื่อมูซาได้กล่าวแก่คนใช้หนุ่ม
(ยูะฮ์
อิบน์นูน)
ของเขาว่า
ฉันจะยังคงเดินต่อไปจนกว่าจะบรรลุสู่ชุมทางแห่งสองทะเลหรือฉันจะคงเดินต่อไปอีกหลายปี
[18:61]
ดังนั้น
เมื่อทั้งสองถึงชุมทางระหว่างสองทะเลแล้วทั้งสองลืมปลาของเขา
ดังนั้นมันจึงหาวิธีของมันลงทะเลไปตามทาง
[18:62]
ครั้นเมื่อทั้งสองเดินเลยต่อไปอีก
เขาได้กล่าวแก่คนใช้หนุ่มของเขาว่า
จงนำอาหารกลางวันของเราออกมา
โดยแน่นอน
เราได้รับความลำบากจากการเดินทางของเรานี้
[18:63]
เขากล่าวว่า
ท่านมิเห็นดอกหรือ
เมื่อเราพักอยู่ที่ก้อนหิน
แท้จริงฉันลืมที่จะพูดถึงเรื่องปลาและไม่มีผู้ใดที่ทำให้ฉันลืมกล่าวถึงมันนอกจากชัยตอน
และมันก็หาทางลงทะเลไปอย่างน่าประหลาดแท้
ๆ
[18:64]
เขากล่าวว่า
นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการหา
ดังนั้น
ทั้งสองจึงหวลกลับตามร่องรอยไปที่เดิม
[18:65]
แล้วทั้งสองได้พบบ่าวคนหนึ่งจากปวงบ่าวของเราที่เราได้ประทานความเมตตาจากเราให้แก่เขา
และเราได้สอนความรู้จากเราให้แก่เขา
[18:66]
มูซาได้กล่าวแก่เขาว่า
จะให้ฉันติดตามท่านไปได้ไหม? โดยท่านจะต้องสอนฉันจากสิ่งที่ท่านได้เคยเรียนรู้มา
ตามแนวทางที่เที่ยงตรง
[18:67]
เขากล่าวว่าแท้จริง
ท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกันฉันได้
[18:68]
และท่านจะอดทนอย่างได้อย่างไร
ในสิ่งที่ท่านไม่มีความรู้อย่างละเอียดละออ?
[18:69]
เขากล่าวว่า
หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ท่านจะพบฉันเป็นผู้อดทน
และฉันจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน
[18:70]
เขากล่าวว่า
ดังนั้น
ถ้าท่านติดตามฉันก็อย่าได้ถามฉันถึงสิ่งใด
จนกว่าฉันจะเล่าเรื่องนั้นแก่ท่าน
[18:71]
ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทาง
จนกระทั่งเมื่อทั้งสองลงเรือเขา
(เคาะฏิร)
จึงเจาะรูมัน
เขา (มูซา)
กล่าวว่า
ท่านเจาะรูมันเพื่อให้ผู้ที่อยู่ในเรือจมน้ำกรนั้นหรือ? โดยแน่นอนท่านได้นำมาซึ่งสิ่งที่อันตรายยิ่ง
[18:72]
เขากล่าวว่า
ฉันมิได้บอกหรือว่า
แท้จริงท่านจะไม่สามารถมีความอดทนร่วมกับฉันได้
[18:73]
เขา
(มูซา)
กล่าวว่า
โปรดอย่าเอาโทษกับฉันเลยในสิ่งที่ฉันลืม
และอย่าบังคับฉันให้ลำบากใจเรื่องของฉันเลย
[18:74]
ดังนั้นเขาทั้งสองจึงออกเดินทางต่อไปจนกระทั่งเมื่อทั้งสองพบเด็กคนหนึ่ง
เขา (เคาะฏิร)
จึงฆ่าเด็กคนนั้น
เขา (มูซา)
กล่าวว่า
ท่านฆ่าชีวิตบริสุทธิ์โดยมิได้ทำผิดต่อชีวิตอื่นกระนั้นหรือ? โดยแน่นอน
ท่านทำสิ่งที่ร้ายแรงยิ่ง