PART 21
[29:46]
และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับพวกอะฮ์ลุลกิตาบเว้นแต่ด้วยวิธีที่ดีกว่านอกจากบรรดาผุ้อธรรมในหมู่พวกเขาและพวกเจ้าจงกล่าวว่า
เราศรัธาในสิ่งที่ถูกประทานแก่เราและสิ่งที่ได้ถูกประทานแก่พวกเจ้าและพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกเขาเป็นเอกะ
และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์
[29:47]
และเช่นนั้นแหละ
เราได้ประทานคัมภีร์แก่เจ้า
ดังนั้นบรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขา
พวกเขาก็ศรัทธาต่อมัน
(อัลกุรอาน)
และในหมู่เขาเหล่านั้นมีผู้ศรัทธาต่อมัน
และไม่มีผู้ใดปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
นอกจากผู้ปฏิเสธศรัทธา
[29:48]
และก่อนหน้านั้นเจ้ามิได้อ่านคัมภีร์ใด
ๆ
และเจ้ามิได้เขียนมันด้วยมือขวาของเจ้า
มิฉะนั้นแล้วพวกกล่าวความเท็จจะสงสัยอย่างแน่นอน
[29:49]
มิใช่เช่นนั้นดอก
มันคือโองการทั้งหลายอันแจ้งชัดอยู่ในหัวอกของบรรดาผู้ได้รับความรู้และไม่มีผู้ใดปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานอกจากพวกอธรรม
[29:50]
และพวกเขากล่าวว่า
ทำไมสัญญาณ
ต่าง ๆ จากพระเจ้าของเขาจึงมิถูกประทานมายังเขา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงสัญญาณเหล่านั้นอยู่ที่อัลลอฮ์
และฉันเป็นผู้ตักเตือนอันกระจ่างแจ้งเท่านั้น
[29:51]
มิเพียงพอแก่พวกเขาดอกหรือที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่เจ้าซึ่งได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขาฟัง
แท้จริงในการนั้นแน่นอนย่อมเป็นความแมตตาและเป็นการตักเตือนแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา
[29:52]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานระหว่างฉันและพวกท่าน
พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และบรรดาผู้เชื่อในความเท็จและปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์
ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาเป็นผู้ขาดทุน
[29:53]
และพวกเขาเร่งเร้าเจ้า
ในเรื่องการลงโทษและหากมิใช่เวลาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
การลงโทษก็จะเกิดขึ้นแก่พวกเขาอย่างแน่นอนและมันจะเกิดขึ้น
แก่พวกเขาโดยฉับพลันอย่างแน่นอนโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว
[29:54]
พวกเขาเร่งเร้าเข้าในเรื่องการลงโทษและแท้จริงนรกญะฮันนัมนั้นเป็นที่สะกัดล้อมพวกปฏิเสธศรัทธาไว้อย่างแน่นอน
[29:55]
วันซึ่งการลงโทษจะครอบคลุมพวกเขาจากข้างบนพวกเขาและจากใต้เท้าของพวกเขาและพระองค์จะตรัสว่า
พวกเจ้าจงลิ้มรสสิ่งที่พวกเจ้าได้ก่อกรรมกระทำไว้
[29:56]
โอ้ปวงบ่วงของข้า
บรรดาผู้ที่ศรัทธาเอ๋ย
!
แท้จริงแผ่นดินของข้านั้นกว้างใหญ่ไพศาล
ดังนั้นเฉพาะข้าเท่านั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดี
[29:57]
ทุก
ๆ
ชีวิตเป็นผู้ลิ้มรสความตายแล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา
[29:58]
และบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
แน่นอนเราจะให้พวกเขาพำนักอยู่ในห้องพิเศษแห่งสวนสวรรค์ณ
เบื้องล่างมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน
พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
รางวัลของผู้กระทำความดีช่างประเสริฐแท้
ๆ
[29:59]
บรรดาผู้อดทนขันติและพวกเขามอบหมายไว้วางใจแด่พระเจ้าของพวกเขา
[29:60]
และสัตว์ตั้งกี่ชนิดที่มันมิสามารถแสวงหาเครื่องยังชีพของมัน
อัลลอฮ์
ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่พวกมัน
และแก่พวกเจ้าและพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[29:61]
และถ้าเจ้าถามพวกเขา
ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน
และเป็นผู้ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์
แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮ์
แล้วทำไมเล่าพวกเขาจึงหันเหออกไปทางอื่น
!?
[29:62]
อัลลอฮ์ทรงให้เครื่องยังชีพกว้างขวางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์และทรงให้คับแคบแก่เขาแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
[29:63]
และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า
ใครเล่าทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้าแล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาหลังจากความแห้งแล้งของมัน
แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า
อัลลอฮ์
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์
แต่ว่าส่วนมากพวกเขาไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ
[29:64]
และการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มิใช่อื่นใด
เว้นแต่เป็นการละเล่นและการสนุกสนานร่าเริงและแท้จริงสถานที่ในปรโลกนั้น
แน่นอนมันคือชีวิตที่แท้จริงหากพวกเขาได้รู้
[29:65]
ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นขี่เรือ
พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์เป็นผู้บริสุทธิ์ใจในการขอพรต่อพระองค์
ครั้นเมื่อพระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้ขึ้นบก
แล้วพวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์
[29:66]
เพื่อพวกเขาจะเนรคุณต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขา
และเพื่อพวกเขาจะได้หลงประทานแก่พวกเขา
และเพื่อพวกเขาจะได้หลงระเริงแล้วพวกเขาก็จะได้รู้
[29:67]
พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
เราได้ทำเขตหวงห้ามให้เป็นที่ปลอดภัย
ขณะที่ประชาชนรอบ
ๆ
พวกเขาถูกฆ่า
ถูกลักพาตัวไป
แล้วพวกเขายัวจะศรัทธาต่อความเท็จ
และพวกเขายังจะเนรคุณต่อความโปราดปรานของอัลลอฮ์อีกหรือ
?
[29:68]
และใครเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กุความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธสัจธรรมเมื่อมันได้มายังเขาที่พำนักในนรกญะฮันนัมมิใช่สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาดอกหรือ
?
[29:69]
และบรรดาผู้ต่อสู้ดิ้นรนในทางของเราแน่นอนเราจะชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่พวกเขาสู่ทางของเรา
และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงอยู่ร่วมกับผู้กระทำความดีทั้งหลาย
Ar-Rûm
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[30:1]
อะลิฟ
ลาม มีม
[30:2]
พวกโรมันถูกพิชิตแล้ว
[30:3]
ในดินแดนอันใกล้นี้
แต่หลังจากการปราชัยของพวกเขาแล้วพวกเขาจะได้รับชัยชนะ
[30:4]
ในเวลาไม่กี่ปีต่อมา
พระบัญชาเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ทั้งก่อนและหลัง
(ชัยชนะ) และวันนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ
[30:5]
ด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์
พระองค์ทรงช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[30:6]
(นั่นคือ)
สัญญาของอัลลอฮ์
อัลลอฮ์จะไม่ทรงบิดพริ้วสัญญาของพระองค์แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[30:7]
พวกเขารู้แต่เพียงผิวเผินในเรื่องการดำรงชีวิตในโลกนี้
และพวกเขาไม่คำนึงถึงการมีชีวิตในปรโลก
[30:8]
พวกเขามิได้ใคร่ครวญ
ในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า
อัลลอฮ์มิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง
เพื่อสิ่งอื่นใดเลย
เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้
และแท้จรงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
[30:9]
พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ
แล้วพิจารณาดูว่าบั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด
เขาเหล่านั้นมีพลังที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา
เขาเหล่านั้นขุดพรวนดินและก่อสร้าง
(เคหสถาน)
มากกว่าพวกเขาก่อสร้างมัน
และบรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้มาหาพวกเขาด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง
ดังนั้น
แน่นอนอัลลอฮ์มิได้ทรงอธรรมต่อพวกเขา
แต่ว่าพวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเองต่างหาก
[30:10]
แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วก็คือความชั่ว
โดยที่พวกเขาปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์และพวกเขาเย้ยหยันมัน
[30:11]
อัลลอฮ์ทรงเริ่มการบังเกิด
(มนุษย์)
แล้วทรงให้มันกลับมาเกิดอีก
แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[30:12]
และวันที่วาระสุดท้ายจะเกิดขึ้น
พวกทำผิดก็จะหมดหวัง
[30:13]
และจะไม่มีผู้ใดจากบรรดาภาคีของพวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเขา
และพวกเขาก็เป็นผู้ปฏิเสธบรรดาภาคีของพวกเขาด้วย
[30:14]
และวันที่วาระสุดท้ายจะเกิดขึ้น
วันนั้นพวกเขาจะแยกออกจากกัน
[30:15]
ดังนั้น
สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดี
พวกเขาก็จะชื่นชมยินดีอยู่ในสวนสวรรค์
[30:16]
และส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและไม่ยอมเชื่อต่อสัญญาณทั้งหลายของเรา
และการพบ (เรา)
ในวันปรโลก
ชนเหล่านั้นแหละเป็นผู้อยู่ในการลงโทษอย่างถาวร
[30:17]
ดังนั้น
มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮ์
เมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามเย็น
และพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามเช้า
[30:18]
มวลการสรรเสริญในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
และในยามพลบค่ำ
และเมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามบ่าย
[30:19]
พระองค์ทรงให้มีชีวิตหลังจากการตาย
และทรงให้ตายหลังจากมีชีวิต
และทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น
หลังจากการแห้งแล้งของมัน
และเช่นนั้นแหละพวกเจ้าจะถูกนำออกมา
[30:20]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ทรงสร้างพวกเจ้าจากดิน
แล้วพวกเจ้าเป็นมนุษย์แพร่กระจายออกไป
[30:21]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า
เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง
และ
ทรงมีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า
แท้จริงในการนี้
แน่นอน
ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
[30:22]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และการแตกต่างของภาษาของพวกเจ้าและผิวพรรณของพวกเจ้า
แท้จริงในการนี้แน่นอน
ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับบรรดาผู้มีความรู้
[30:23]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
การหลับนอนของพวกเจ้าในกลางคืนและกลางวัน
และการแสวงหาของพวกเจ้าซึ่งความโปรดปรานของพระองค์
แท้จริงในการนี้
แน่นอน
ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ฟังเพื่อใคร่ครวญ
[30:24]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ทรงให้พวกเจ้าเห็นสายฟ้าแลบเป็นที่หวาดกลัว
และเป็นความหวัง
และทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้า
และทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาด้วยมัน
(น้ำฝน)
หลังจากการแห้งแล้งของมัน
แท้จริงในการนั้น
ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใช้สติปัญญา
[30:25]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ชั้นฟ้าและแผ่นดินมั่นคงอยู่ตามพระบัญชาของพระองค์
ครั้นเมื่อพระองค์ทรงร้องเรียกพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งให้ออกจากแผ่นดิน
เมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะออกมากัน
[30:26]
และผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
ทั้งมวลเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
[30:27]
และพระองค์คือผู้ทรงเริ่มแรกในการสร้าง
แล้วทรงให้มันกลับขึ้นมาอีก
และมันเป็นการง่ายยิ่งแก่พระองค์
และคุณลักษณะอันสูงส่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[30:28]
พระองค์ทรงยกอุทธาหรณ์แก่พวกเจ้าที่มาจากตัวของพวกเจ้าเอง
จะมีบ้างไหมสำหรับพวกเจ้า
(ที่จะยอมให้)
ในหมู่ผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง
(บ่าวทาส)
มีหุ้นส่วนในสิ่งที่เราได้ให้เครื่องยังชีพแก่พวกเจ้า
แล้วพวกเจ้า
(กับพวกเขา)
มามีส่วนเท่ากัน
โดยพวกเจ้ากลัวพวกเขาเหมือนกับการกลัวของพวกเจ้าด้วยกันเอง
เช่นนั้นแหละ
เราจำแนกสัญญาณทั้งหลายแก่หมู่ชนผู้ใช้ปัญญาเพื่อไตร่ตรอง
[30:29]
เปล่าเลย
!
แต่ว่าบรรดาผู้อธรรมได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้
แล้วผู้ใดเล่าจะแนะแนวทางแก่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้เขาหลงทางไปแล้ว
และสำหรับพวกเขาจะไม่มีผู้ช่วยเหลือ
[30:30]
ดังนั้น
เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้
(โดยเป็น)
ธรรมชาติของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮ์
นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง
แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[30:31]
และจงยำเกรงพระองค์
และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
โดยเป็นผู้ผินหน้ากลับไปสู่พระองค์
และอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี
[30:32]
(คือ)
ในหมู่ผู้แบ่งแยกศาสนาของพวกเขาออกเป็นนิกายต่าง
ๆ
และแต่ละหมู่คณะก็พอใจต่อสิ่งที่พวกเขามีอยู่
[30:33]
และเมื่อทุกขภัยอันใดประสบแก่มนุษย์
พวกเขาก็วิงวอนขอต่อพระเจ้าของพวกเขา
โดยเป็นผู้ผินหน้ากลับไปสู่พระองค์
ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงให้พวกเขาลิ้มรสความเมตตาจากพระองค์
ณ บัดนั้นหมู่หนึ่งจากพวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระเจ้าของพวกเขา
[30:34]
ก็จงเนรคุณต่อสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเขา
แล้วก็จงร่าเริงกันต่อไปเถิด
แล้วพวกเจ้าจะได้รู้
[30:35]
หรือว่าเราได้ให้หลักฐานอันใดแก่พวกเขา
เพื่อมันจะได้พูดในสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีต่อพระองค์
[30:36]
และเมื่อเราได้ให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตา
พวกเขาก็ดีใจต่อมัน
และเมื่อทุกข์ร้ายอันใดประสบแก่พวกเขา
เนื่องด้วยสิ่งที่มือของพวกเขาประกอบไว้
แล้วพวกเขาก็หมดอาลัย
B30:036:1B อิบนุกะษีรกล่าวว่า
อันนี้เป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงของมนุษย์
นอกจากผู้ที่อัลลอฮ์ทรงคุ้มครองเขาคือเมื่อเขาได้รับความโปรดปรานเขาก็ดีใจและลืมตัว
แต่เมื่อประสบกับความทุกข์ยาก
เขาก็หมดอาลัยและสิ้นหวัง
[30:37]
แท้จริงในการนี้
แน่นอน
ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา
[30:38]
จงบริจาคแก่ญาติสนิทซึ่งสิทธิของเขา
และแก่ผู้ขัดสนและผู้เดินทางนั่นแหละเป็นการดียิ่งสำหรับบรรดาผู้ปรารถนาพระพักตร์ของอัลลอฮ์
และชนเหล่านั้นแหละพวกเขาเป็นผู้ประสบชัยชนะ
[30:39]
และสิ่งที่พวกเจ้าจ่ายออกไปจากทรัพย์สิน
(ดอกเบี้ย)
เพื่อให้มันเพิ่มพูนในทรัพย์สินของมนุษย์
มันจะไม่เพิ่มพูนณ
ที่อัลลอฮ์และสิ่งที่พวกเจ้าจ่ายไปจากซะกาต
โดยพวกเจ้าปรารถนาพระพักตร์ของอัลลอฮ์
ชนเหล่านั้นแหละพวกเขาคือผู้ได้รับการตอบแทนอย่างทวีคูณ
[30:40]
อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้า
แล้วทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า
แล้วทรงให้พวกเจ้าตาย
แล้วทรงให้พวกเจ้าเป็น
จะมีผู้ใดบ้างในหมู่ภาคีของพวกเจ้ากระทำสักอย่างหนึ่งจากสิ่งเหล่านั้น
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์
และพระองค์ทรงสูงส่งจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี
[30:41]
การบ่อนทำลาย
ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ
เนื่องจากสิ่งที่มือของมนุษย์ได้ขวนขวายไว้เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสบางส่วนที่พวกเขาประกอบไว้
โดยที่หวังจะให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัว
[30:42]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปตามแผ่นดิน
แล้วจงพิจารณาดูว่าบั้นปลายของกลุ่มชนในอดีตเป็นเช่นไร
ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ตั้งภาคี
[30:43]
ดังนั้น
จงมุ่งหน้าของเจ้าเพื่อศาสนาอันเที่ยงธรรม
ก่อนที่วันหนึ่งของอัลลอฮ์จะมาถึง
ซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
วันนั้นพวกเขาจะแตกแยกกัน
(เป็นสองฝ่าย)
[30:44]
ผู้ใดปฏิเสธศรัทธา
การปฏิเสธศรัทธาก็ตกอยู่กับเขา
และผู้ใดกระทำความดี
พวกเขาก็เตรียมที่พักไว้สำหรับตัวของพวกเขาเอง
[30:45]
เพื่อที่พระองค์จะทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
ด้วยความดีของพระองค์
แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบพวกปฏิเสธศรัทธา
[30:46]
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
พระองค์ทรงส่งลมเป็นการแจ้งข่าวดีทั้งหลาย
และเพื่อพระองค์จะทรงให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสความเมตตาของพระองค์
และเพื่อเรือเดินทะเลจะได้แล่นไปโดยพระบัญชาของพระองค์
และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาจากความโปรดปรานของพระองค์
และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
[30:47]
และโดยแน่นอน
เราได้ส่งบรรดาร่อซู้ลก่อนหน้าเจ้าไปยังหมู่ชนของพวกเขา
และเขาเหล่านั้นได้นำหลักฐานต่าง
ๆ มาให้
พวกเขาแล้ว ดังนั้น
เราได้ตอบแทนบรรดาผู้กระทำความผิดอย่างสาสม
และหน้าที่ของเราคือการช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธา
[30:48]
อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ส่งลมทั้งหลาย
แล้วมันได้รวมตัวกันขึ้นเป็นเมฆ
แล้วพระองค์ทรงให้มันแผ่กระจายไปตามท้องฟ้า
เท่าที่พระองค์ทรงประสงค์
และพระองค์ทรงทำให้มันเป็นกลุ่มก้อน
แล้วเจ้าจะเห็นฝนตกลงมาจากท่ามกลางมัน
เมื่อมันได้ตกลงมายังผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์
เมื่อนั้นพวกเขาก็ดีใจ
[30:49]
และทั้ง
ๆ ที่พวกเขา
ก่อนที่ฝนจะตกลงมาแก่พวกเขา
พวกเขาก็เป็นผู้หมดหวัง
[30:50]
ดังนั้น
เจ้าจงพิจารณาดูร่องรอยแห่งความเมตตาของอัลลอฮ์ว่า
พระองค์ทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาหลังจากความแห้งแล้งของมันอย่างไร
แท้จริงในการนั้น
แน่นอน พระองค์ย่อมเป็นผู้ทรงให้มีชีวิตแก่คนที่ตายไปแล้ว
และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[30:51]
และหากเราได้ส่งลมไป
แล้วพวกเขาได้เห็นมัน
(พืชผล)
เป็นสีเหลือง
แน่นอนพวกเขาจะกลายเป็นผู้เนรคุณหลังจากนั้น
[30:52]
ดังนั้น
แท้จริงเจ้าจะไม่ทำให้คนตายได้ยิน
และเจ้าจะไม่ทำให้คนหูหนวกได้ยินการเรียกร้องได้
เมื่อพวกเขาเป็นผู้ผินหลังกลับ
[30:53]
และเจ้าก็มิใช่ผู้ชี้นำทางแก่คนตาบอดหลังจากการหลงทางของพวกเขา
เจ้ามิได้ทำให้ผู้ใดได้ยิน
นอกจากผู้ศรัทธาต่อสัญญาณทั้งหลายของเรา
โดยที่พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมยอมจำนน
[30:54]
อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้สร้างพวกเจ้าในสภาพอ่อนแอ
แล้วหลังจากความอ่อนแอพระองค์ก็ทรงทำให้มีความแข็งแรงแล้วหลังจากความแข็งแรงทรงทำให้อ่อนแอและชราภาพ
พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้
อานุภาพ
[30:55]
และเมื่อวันอวสานเกิดขึ้น
ผู้กระทำผิดทั้งหลายจะสาบานว่า
พวกเขามิได้พำนักอยู่
(ในโลกดุนยา)
นอกจากเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
เช่นนั้นแหละ
พวกเขาถูกให้หันออก
(จากความจริงสู่ความเท็จ)
[30:56]
และบรรดาผู้มีความรู้และศรัทธา
กล่าว (ตอบโต้พวกเขา)
ว่า
โดยแน่นอน
พวกท่านได้พำนักอยู่ตามกำหนดของอัลลอฮ์จนกระทั่งวันฟื้นคืนชีพ
ดังนั้นนี่คือวันฟื้นคืนชีพแต่พวกท่านไม่ยอมเชื่อ
[30:57]
ในวันนั้นการแก้ตัวของพวกเขาจะไม่อำนวยประโยชน์แก่บรรดาผู้อธรรม
และพวกเขาจะไม่ถูกขอร้องให้กลับเนื้อกลับตัว
[30:58]
และโดยแน่นอนในอัลกุรอานนี้เราได้ยกอุทาหรณ์ไว้ทุกอย่างสำหรับมนุษย์
และหากว่าเจ้านำมาให้พวกเขาสัญญาณหนึ่ง
แน่นอน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า
พวกท่านมิใช่ใครอื่น
นอกจากเป็นผู้หลอกลวง
[30:59]
เช่นนั้นแหละ
อัลลอฮ์ทรงประทับตราบนหัวใจของบรรดาผู้ไม่ยอมรับรู้
[30:60]
จงอดทน
(ต่อไปเถิดมุฮัมมัด)
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริงเสมอ
และอย่าให้บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อมั่นทำให้เจ้ากังวลใจ
Luqmân
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[31:1]
อะลิฟ
ลาม มีม
[31:2]
เหล่านั้นคือบรรดาอายาตแห่งคัมภีร์ที่ชัดแจ้ง
[31:3]
(เพื่อ)
เป็นแนวทางที่ถูกต้องและเป็นการเมตตาแก่บรรดาผู้กระทำความดี
[31:4]
(คือ)
บรรดาผู้ดำรงการละหมาด
และบริจาคซะกาต
และพวกเขาเชื่อมั่นต่อวันปรโลก
[31:5]
ชนเหล่านั้นอยู่บนแนวทางที่ถูกต้องจากพระเจ้าของพวกเขา
และชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ
[31:6]
และในหมู่มนุษย์มีผู้ซื้อเอาเรื่องไร้สาระ
เพื่อทำให้เขาหลงไปจากทางของอัลลอฮ์
โดยปราศจากความรู้
และถือเอามันเป็นเรื่องขบขัน
ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ
[31:7]
และเมื่ออายาตทั้งหลายของเราถูกอ่านให้แก่เขา
เขาก็ผินหลังให้อย่างจองหอง
ประหนึ่งว่าเขาไม่ได้ยินอายาตนั้นๆ
ประหนึ่งว่าในหูของเขานั้นหนวก
ดังนั้น
จงแจ้งข่าวแก่เขาถึงการลงโทษอันเจ็บปวด
[31:8]
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
พวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์หลากหลายอย่างสุขสำราญ
[31:9]
พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
สัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง
และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
[31:10]
พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายโดยปราศจากเสาที่พวกเจ้าจะมองเห็นมันได้
และทรงปักเทือกเขาไว้อย่างมั่นคงในแผ่นดินเพื่อมิให้มันสั่นคลอนไปกับพวกเจ้า
และทรงให้สัตว์ทุกชนิดแพร่หลายในมัน
(แผ่นดิน)
และเราได้ให้น้ำ
(ฝน)
หลั่งลงมาจากฟากฟ้าและเราได้ให้พืชทุกชนิดงอกเงยออกมาเป็นคู่
ๆ อย่างดีงาม
[31:11]
นี่คือการสร้างของอัลลอฮ์
ดังนั้น พวกเจ้าจงแสดงให้ข้า
(อัลลอฮ์)
เห็นซิว่า อันใดเล่าที่เขาเหล่านั้นได้สร้างมันขึ้นมาอื่นจากพระองค์
แต่ว่าบรรดาผู้อธรรมต่างหากที่อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[31:12]
และโดยแน่นอน
เราได้ให้ฮิกมะฮ์
แก่ลุกมานว่า
จงขอบพระคุณต่ออัลลอฮ์
และผู้ใดขอบคุณ
แท้จริงเขาก็ขอบคุณตัวของเขาเอง
และผู้ใดปฏิเสธ
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงพอเพียงและทรงได้รับการสรรเสริญ
[31:13]
และจงรำลึกเมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา
โดยสั่งสอนเขาว่า
โอ้ลูกเอ๋ย
เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใด
ๆ ต่ออัลลอฮ์
เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์
โดยแน่นอน
[31:14]
และเราได้สั่งการแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา
มารดาของเขา
โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาอ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า
และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
เจ้าจงขอบคุณข้า
และบิดามารดาของเจ้า
ยังเรานั้น
คือการกลับไป
[31:15]
และถ้าเขาทั้งสองบังคับเจ้าให้ตั้งภาคีต่อข้า
โดยที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
เจ้าอย่าได้เชื่อฟังปฏิบัติตามเขาทั้งสอง
และจงอดทนอยู่กับเขาทั้งสองในโลกนี้ด้วยการทำความดี
และจงปฏิบัติตามทางของผู้ที่กลับไปสู่ข้า
และยังเรานั้นถือทางกลับของพวกเจ้า
ดังนั้น
ข้าจะบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
[31:16]
โอ้ลูกเอ๋ย
แท้จริง
(หากว่าความผิดนั้น)
มันจะหนักเท่าเมล็ดผักสักเมล็ดหนึ่ง
มันจะซ่อนอยู่ในหิน
หรืออยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
หรืออยู่ในแผ่นดิน
อัลลอฮ์ก็จะทรงนำมันออกมา
แท้จริง
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
[31:17]
โอ้ลูกเอ๋ย
เจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
และจงใช้กันให้กระทำความดี
และจงห้ามปรามกันให้ละเว้นการทำความชั่ว
และจงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า
แท้จริง
นั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่หนักแน่น
มั่นคง
[31:18]
และเจ้าอย่าหันแก้ม
(ใบหน้า)
ของเจ้าให้แก่ผู้คนอย่างยะโส
และอย่าเดินไปตามแผ่นดินอย่างไร้มรรยาท
แท้จริง อัลลอฮ์
มิทรงชอบทุกผู้หยิ่งจองหอง
และผู้คุยโวโอ้อวด
[31:19]
และเจ้าจงก้าวเท้าของเจ้าพอประมาณ
และจงลดเสียงของเจ้าลง
แท้จริง
เสียงที่น่าเกลียดยิ่งคือเสียง
(ร้อง) ของลา
[31:20]
พวกเจ้ามิเห็นดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอำนวยความสะดวกให้แก่พวกเจ้าสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดิน
และพระองค์ได้ทรงประทานความ
โปรดปรานมากมายของพระองค์อย่างครบครันแก่พวกเจ้า
ทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้นและในหมู่มนุษย์มีผู้โต้เถียงในเรื่องของอัลลอฮ์โดยปราศจากความรู้และปราศจากแนวทางที่ถูกต้องและปราศจากคัมภีร์ที่ให้ความสว่าง
(แก่พวกเขา)
[31:21]
และได้เมื่อมีการกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา
พวกเขากล่าวว่า
แต่เราจะปฏิบัติตามสิ่งที่เราพบบรรพบุรุษของเราปฏิบัติในเรื่องนั้น
อะไรกัน
ถึงแม้ว่าชัยตอนจะเรียกร้องพวกเขาสู่การลงโทษที่มีไฟลุกโชนอยู่กระนั้นหรือ?
[31:22]
และผู้ใดยอมนอบน้อมใบหน้าของเขายังอัลลอฮ์
โดยที่เขาเป็นผู้กระทำดี
แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว
และบั้นปลายของกิจการทั้งหลายย่อมกลับไปหาอัลลอฮ์
[31:23]
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา
ก็อย่าให้การปฏิเสธศรัทธาของเขาทำให้เจ้าเศร้าโศกเสียใจ
และยังเรานั้นคือทางกลับของพวกเขา
ดังนั้น
เราจะบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
แท้จริง
อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก
[31:24]
เราจะให้เวลาพวกเขาสนุกสนานกันเพียงเล็กน้อย
แล้วเราจะไล่ต้อนพวกเขาสู่การลงโทษที่รุนแรง
[31:25]
และถ้าเจ้าถามพวกเขา
ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า
อัลลอฮ์
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์
แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
[31:26]
สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ
ผู้ทรงพอเพียงจากสิ่งทั้งหลาย
ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[31:27]
และหากว่าต้นไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินเป็นปากกาหลาย
ๆ ด้าม
และมหาสมุทร
(เป็นน้ำหมึก)
มีสำรองไว้อีกเจ็ดมหาสมุทรพจนารถของอัลลอฮ์ก็จะยังไม่หมดสิ้นไป
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[31:28]
การบังเกิดของพวกเจ้าและการฟื้นคืนชีพของพวกเจ้า
มิใช่อื่นใดนอกจากเสมือนชีวิตเดียว
แท้จริง
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงเห็น
[31:29]
เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในเวลากลางวัน
และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในเวลากลางคืน
และทรงสร้างให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
(เป็นประโยชน์แก่มนุษย์)
ทุกสิ่งโคจรไปตามวาระที่กำหนดไว้
และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[31:30]
นั่นเพราะว่าอัลลอฮ์นั้น
พระองค์คือผู้ทรงสัจจะ
และเพราะว่าสิ่งที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้นเป็นเท็จ
[31:31]
เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า
เรือนั้นแล่นไปตามท้องทะเลเนื่องด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์
เพื่อพระองค์จะให้พวกเจ้าได้เห็นสัญญาณต่าง
ๆ ของพระองค์
แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณแก่ผู้อดทนผู้ขอบคุณทุกคน
[31:32]
และเมื่อลูกคลื่นซัดมาท่วมมิดตัวพวกเขาคล้ายฝาที่ครอบคลุม
พวกเขาก็วิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์
ครั้นเมื่อพระองค์ได้ช่วยให้พวกเขาได้ขึ้นบกในหมู่พวกเขามีผู้อยู่ในสายกลาง
และไม่มีผู้ปฏิเสธสัญญาณต่าง
ๆ ของเรา
นอกจากทุกผู้ทรยศผู้เนรคุณ
[31:33]
โอ้มนุษย์เอ๋ย
พวกเจ้าจงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด
และจงกลัววันหนึ่งที่พ่อไม่อาจจะช่วยลูกของเขาได้
และลูกก็ไม่อาจจะช่วยพ่อของเขาได้แต่อย่างใด
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นความจริง
ดังนั้นอย่าให้การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ล่อลวงพวกเจ้า
และอย่าให้หัวหน้าพวกล่อลวง
(ชัยตอน)
มาหลอกลวงพวกเจ้าเกี่ยวกับอัลลอฮ์เป็นอันขาด
[31:34]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้น
ความรู้แห่งวันอวสานมีอยู่
ณ ที่พระองค์
และพระองค์ทรงประทานฝนลงมาและพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในมดลูก
และไม่มีชีวิตใดรู้ว่า
ณ แผ่นดินใดมันจะตาย
As-Sajdah
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[32:1]
อะลิฟ
ลาม มีม
[32:2]
การประทานลงมาของคัมภีร์นี้ไม่มีข้อสงสัยใด
ๆ ในนั้น
จากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[32:3]
หรือพวกเขากล่าวว่า
เขา
(มุฮัมมัด)
ได้ปั้นแต่งคัมภีร์นี้ขึ้นมา
แต่ว่าคัมภีร์นี้
คือ
สัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า
เพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า
หวังว่าพวกเขาจะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[32:4]
อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองในเวลา
6 วัน
แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์
สำหรับพวกเจ้านั้นไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลืออื่นจากพระองค์
แล้วพวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญบ้างดอกหรือ
?
[32:5]
พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน
แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตามที่พวกเจ้านับ
[32:6]
นั่นคือพระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ
และเปิดเผย
เป็นผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[32:7]
ผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมันให้ดีงาม
และพระองค์ทรงเริ่มการสร้างมนุษย์จากดิน
[32:8]
แล้วทรงให้การสืบตระกูล
ของมนุษย์มาจากน้ำ
(อสุจิ)
อันไร้ค่า
[32:9]
แล้วทรงทำให้เขามีสัดส่วนที่สมบูรณ์
และทรงเป่ารูหฺ
(วิญญาณ)
ของพระองค์เข้าไปในเขาและทรงให้พวกเจ้าได้ยินและได้เห็นและให้มีจิตใจ
(สติปัญญา)
ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าขอบคุณ
[32:10]
และพวกเขากล่าวกันว่า
เมื่อเราได้สลายตัวลงสู่ใต้ผืนแผ่นดินไปแล้ว
เราจะเกิดขึ้นมาใหม่กระนั้นหรือ
แต่พวกเขาปฏิเสธต่อการพบพระเจ้าของพวกเขา
[32:11]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
มะลักผู้ปลิดชีวิต
ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน
จะปลิดชีวิตของพวกท่าน
แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน
[32:12]
และถ้าเจ้าได้เห็น
เมื่อผู้กระทำผิดทั้งหลายก้มศีรษะของพวกเขาลง
ณ
ที่พระเจ้าของพวกเขา
(พลางกล่าวว่า)
ข้าแต่พระเจ้าของเรา
เราได้เห็นแล้ว
เราได้ยินแล้ว
ขอได้ทรงโปรดส่งเรากลับไป
(ยังโลกดุนยา)
เพื่อเราจะได้กระทำความดี
แท้จริงเราเป็นผู้มีความเชื่อมั่นแล้ว
(ณบัดนี้)
[32:13]
และถ้าเราประสงค์
แน่นอนเราจะทำให้ทุกชีวิตสู่แนวทางที่ถูกต้องของมัน
แต่ว่าคำสัญญาของข้าจะต้องสมจริง
แน่นอนข้าจะให้นรกเต็มไปด้วยญินและมนุษย์รวมทั้งหมด
[32:14]
ดังนั้น
พวกเจ้า
(ชาวนรก)
จงลิ้มรสเถิด
เนื่องด้วยพวกเจ้าได้ลืมการชุมนุมกันในวันนี้ของพวกเจ้า
แท้จริงเราก็ลืมพวกเจ้าด้วย
และพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษอย่างตลอดกาลตามที่พวกเจ้าได้กระทำไว้เถิด
[32:15]
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออายาตทั้งหลายของเราเท่านั้น
ที่เมื่อพวกเขาถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาต
พวกเขา (ก็จะ)
ก้มลงสุญูด
และสดุดีสรรเสริญแด่พระจ้าของพวกเขา
โดยที่พวกเขาไม่หยิ่งผยอง
[32:16]
สีข้างของพวกเขาเคลื่อนห่างจากที่นอน
พลางวิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขาด้วยความกลัวและความหวัง
และพวกเขาบริจาค
สิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา
[32:17]
ดังนั้น
จึงไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้สำหรับพวกเขา
ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตา
เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
[32:18]
ดังนั้น
ผู้ศรัทธาจะเหมือนกับคนชั่วช้ากระนั้นหรือ? พวกเขาย่อมไม่เท่าเทียมกันแน่
ๆ
[32:19]
ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายนั้น
สำหรับพวกเขาคือสวนสวรรค์หลากหลาย
เป็นที่พำนักเตรียมไว้ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
[32:20]
และส่วนบรรดาผู้ชั่วช้านั้น
ที่พำนักของพวกเขาคือไฟนรก
คราใดที่พวกเขาต้องการจะออกไปจากมัน
พวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าไปในนั้นอีก
และจะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรกซึ่งพวกท่านเคยปฏิเสธ
ไม่เชื่อมัน
[32:21]
และแน่นอน
เราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันใกล้
(ในโลกนี้)
ก่อนการลงโทษอันยิ่งใหญ่
(ในปรโลก)
เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมาสำนึกผิด
[32:22]
และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาตทั้งหลายของพระเจ้าของเขา
แล้วเขาก็ผินหลังให้กับอายาตเหล่านั้น
แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด
[32:23]
และโดยแน่นอน
เราได้ให้คัมภีร์แก่มูซา
ดังนั้น เจ้า
(มุฮัมมัด)
อย่าอยู่ในการสงสัยต่อการพบมัน
และเราได้ทำให้มัน
(คัมภีร์อัตเรารอฮ์)
เป็นแนวทางที่ถูกต้องแก่วงศ์วานของอิสรออีล
[32:24]
และเราได้จัดให้มีหัวหน้าจากพวกเขา
เพื่อจะได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องตามคำบัญชาของเรา
ในเมื่อพวกเขามีความอดทนและพวกเขาเชื่อมั่นต่ออายาตทั้งหลายของเรา
[32:25]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้า
พระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮ์
ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องนั้น
[32:26]
ยังมิเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาดอกหรือว่า
กี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายประชาชาติก่อนหน้าของเขาไปหลายชั่วศตวรรษ
โดยที่พวกเขา
(กุฟฟารมักกะฮ์)
ได้ไปพบเห็นมาในที่พำนักอาศัยของพวกเขา
แท้จริง
ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณอย่างมากหลาย
แล้วพวกเขายังไม่เชื่อฟัง
(ใคร่ครวญ)
อีกหรือ
[32:27]
พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
เราได้ให้น้ำไหลลงสู่แผ่นดินที่แห้งแล้ง
แล้วด้วยมัน
(น้ำ)
เราได้ให้พืชผลงอกเงยออกมา
เพื่อปศุสัตว์ของพวกเขาและตัวของพวกเขาเองได้กินจากมัน
[32:28]
และพวกเขากล่าวว่า
เมื่อใดเล่าชัยชนะนี้
(จะเกิดขึ้นแก่พวกท่าน)
หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[32:29]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
วันแห่งชัยชนะนั้น
การศรัทธาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลย
และพวกเขาก็จะไม่ถูกให้ยืดเวลาออกไป
[32:30]
ดังนั้น
จงผินหลังห่างออกจากพวกเขาเสียเถิด
และจงคอยดู
แท้จริงพวกเขาก็จะเป็นผู้คอยดู
Al-Ahzâb
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[33:1]
โอ้
นบี!
จงยำเกรงอัลลอฮ์
และอย่าเชื่อฟังพวกปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิกีน
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[33:2]
และจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกวะฮีย์
แก่เจ้า
จากพระเจ้าของเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[33:3]
และจงมอบความไว้วางใจแด่อัลลอฮ์และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครอง
[33:4]
อัลลอฮ์มิได้ทรงทำให้ชายใดมีสองหัวใจในทรวงอกของเขา
และพระองค์มิได้ทรงทำให้ภริยาของพวกเจ้าซึ่งพวกเจ้าหย่าพวกเธอ
(ด้วยการกล่าวซิฮารฺ)
ว่าเป็นแม่ของพวกเจ้า
และพระองค์มิได้ทรงทำให้การเรียก
(ลูกบุญธรรม)
ของพวกเจ้าว่าเป็นลูก
(ที่แท้จริง)
ของพวกเจ้า
นั่นคือการกล่าวของพวกเจ้าด้วยปากของพวกเจ้า
และอัลลอฮ์นั้นตรัสสัจจะ
และพระองค์ทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง
[33:5]
จงเรียกเขาเหล่านั้นตาม
(ชื่อ)
พ่อของพวกเขา
มันเป็นการเที่ยงธรรมกว่า
ณ
ที่อัลลอฮ์หากพวกเจ้าไม่รู้จักพ่อ
(จริง ๆ)
ของพวกเขา
ดังนั้น
พวกเขาก็คือพี่น้องร่วมในศาสนาของพวกเจ้าและผู้ใกล้ชิดของพวกเจ้า
และไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าผิดพลาดในเรื่องนั้น
แต่สิ่งที่จิตใจของพวกเจ้ามีความมุ่งหมายต่างหาก
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[33:6]
นบีนั้นเป็นผู้ใกล้ชิดกับบรรดาผู้ศรัทธายิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง
และบรรดาภริยาของเขา
(นบี)
คือมารดาของพวกเขาและเครือญาติร่วมสายโลหิต
บางคนในหมู่พวกเขาใกล้ชิดกับอีกบางคนยิ่กว่าบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้อพยพในบัญญติของอัลลอฮ์
เว้น
แต่พวกเจ้าจะกระทำความดีแก่สหายสนิทของ
พวกเจ้า
นั่นได้มีบันทึกไว้แล้วในคัมภีร์
[33:7]
และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้เอาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจากบรรดานบี
และจากเจ้า
และจากนูห์
และอิบรอฮีม
และมูซา
และอิซา อิบนฺมัรยัม
และเราได้เอาคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจากพวกเขา
[33:8]
เพื่อพระองค์จะทรงสอบถามบรรดาผู้สัตย์จริง
เกี่ยวกับความสัตย์จริงของพวกเขา
และพระองค์ทรงเตรียมการลงโทษอันเจ็บปวดไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
[33:9]
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย!
จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าขณะที่กองทัพข้าศึกเข้ามารุกรานพวกเจ้า
แล้วเราได้ส่งลมพายะพัดใส่พวกเขา
และกำลังทหารที่พวกเจ้ามองไม่เห็น
และอัลลอฮ์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[33:10]
เมื่อพวกเขายกทัพมายังพวกเจ้า
ทั้งจากทางข้างบนของพวกเจ้า
และจากทางข้างล่างของพวกเจ้า
และเมื่อนัยตาได้เหลือกลานและหัวใจได้มาจุกอยู่ที่ลำคอ
และพวกเจ้านึกคิดกันต่าง
ๆ นานา
เกี่ยวกับอัลลอฮ์
[33:11]
ณ
ที่นั้นขณะนั้น
บรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกทดลอง
และพวกเขาถูกทำให้เคลื่อนไหวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
[33:12]
และจงรำลึกถึง
เมื่อพวกมุนาฟิกีนและบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขามีโรค
กล่าวว่า อัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์มิได้สัญญาแก่เราอย่างใด
นอกจากการหลอกลวงเท่านั้น
[33:13]
และจงรำลึกถึง
เมื่อกลุ่มหนึ่งจากพวกเขา
(มุนาฟิกีน)
กล่าวว่า
โอ้ชาวยัษริบเอ๋ย!
ไม่มีที่ตั้งมั่นสำหรับพวกท่านแล้ว
(เพื่อต่อสู้กับข้าศึก)
จงกลับไปเสียเถิด
และกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาจะขออนุญาตกับท่านนบีว่าบ้านของพวกเราไม่มีอะไรปกปิด
ไม่มั่นคง
และมันมิได้เป็นเช่นนั้น
พวกเขามิได้ประสงค์สิ่งใด
นอกจากการหนี
(จากการทำสงคราม)
[33:14]
และถ้ามีการรุกรานมายังพวกเขาจากรอบนอกเมืองของมัน
แล้วพวกเขาได้ถูกปลุกปั่นให้ก่อความไม่สงบ
แน่นอน
พวกเขาจะกระทำทันที
และพวกเขาจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
[33:15]
และโดยแน่นอนพวกเขาได้ให้สัญญาต่ออัลลอฮ์มาก่อนแล้วว่า
พวกเขาจะไม่หันหลังกลับ
และสัญญาของอัลลอฮ์นั้นจะถูกสอบถาม
[33:16]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า
การหนีนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกท่าน
หากพวกท่าน
(ต้องการ)
จะหนีจากความตาย
หรือการรบราฆ่าฟันกัน
และเมื่อนั้นพวกท่านจะไม่ได้
รื่นเริงกัน
นอกจาก (ใน)
เวลาอันเล็กน้อย
[33:17]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ใครเล่าจะปกป้องพวกท่านให้พ้นจากอัลลอฮ์ไปได้
หากพระองค์ทรงปรารถนาให้ความเสียหายแก่พวกท่าน
หรือหากพระองค์ทรงปรารถนาให้ความเมตตาแก่พวกท่าน
และพวกเขาจะไม่พบใครอื่นจากอัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครองและเป็นผู้ช่วยเหลือแก่พวกเขา
[33:18]
แน่นอน
อัลลอฮ์ทรงรู้บรรดาผู้ขัดขวางในหมู่พวกเจ้า
และผู้ที่กล่าวแก่พี่น้องของพวกเขาว่า
มาหาพวกเราทางนี้
และพวกเขาจะไม่มาร่วมกันต่อต้านข้าศึก
นอกจากจำนวนเล็กน้อย
[33:19]
เป็นคนตระหนี่กับพวกเจ้า
ครั้นเมื่อความกลัว
(อันตราย)
ปรากฏขึ้น
เจ้าจะเห็นพวกเขาจ้องมองไปยังเจ้าสายตาของพวกเขาเกลือกกลิ้งเสมือนผู้มีอาการร่อแร่ใกล้จะตาย
ต่อเมื่อความกลัว
(อันตราย)
ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
พวกเขาก็พูดจาถากถางพวกเจ้าด้วยสำนวนที่เผ็ดร้อน
เป็นคนตระหนี่ในเรื่องทรัพย์สิน
(ของที่ยึดมาได้จากการทำสงคราม)
ชนเหล่านั้นพวกเขามิได้ศรัทธา
อัลลอฮ์จึงทรงให้การงานของพวกเขาไม่บังเกิดผล
และนั่นเป็นเรื่องง่ายดายแก่อัลลอฮ์
[33:20]
พวกเขาคิดว่าพวกพรรคต่าง
ๆ
เหล่านั้นยังมิได้ถอยกลับออกไป
และหากว่าพวกพรรคต่าง
ๆ เหล่านั้นหวนกลับมาอีก
พวกมุนาฟิกีนก็คาดหวังกันว่า
หากพวกเขาได้ไปอยู่ร่วมกับอาหรับชนบทเพื่อคอยสืบเสาะหาข่าวของพวกเจ้า
และหากว่าพวกเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเจ้า
พวกเขาก็จะไม่ต่อสู้เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[33:21]
โดยแน่นอน
ในร่อซู้ลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว
สำหรับผู้ที่หวัง
(จะพบ) อัลลอฮ์และวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมาก
[33:22]
และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาได้เห็นพรรคต่าง
ๆ เหล่านั้น
พวกเขา
(มุอ์มิน)
ได้กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ได้สัญญาไว้แก่เรา
และอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ตรัสไว้จริงแล้ว
และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขา
นอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม
[33:23]
ในหมู่ผู้ศรัทธามีบุรุษผู้มีสัจจะต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาต่ออัลลอฮ์เอาไว้
ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ปฏิบัติตามสัญญาของเขา
และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ยังคอย
(การตายชะฮีด)
และพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
[33:24]
เพื่ออัลลอฮ์จะได้ทรงตอบแทนบรรดาผู้มีสัจจะในความสัจจริงของพวกเขา
และจะทรงลงโทษพวกมุนาฟิกีนหากพระองค์ทรงประสงค์
หรือจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[33:25]
และอัลลอฮ์ทรงให้พวกปฏิเสธศรัทธาถอยทัพกลับด้วยความเคียดแค้นของพวกเขาโดยที่พวกเขามิได้ประสบความดีแต่อย่างใด
และอัลลอฮ์ทรงพอเพียงแล้วแก่บรรดาผู้ศรัทธาในการสู้รบ
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง
ผู้ทรงอำนาจอย่างเหลือหลาย
[33:26]
และพระองค์ทรงให้พวกอะฮ์ลุลกิตาบ
(ยิวก๊กบะนีกุร็อยเซาะฮ์)
ที่ได้ช่วยเหลือพวกเขา
(พวกมุชริกีน)
ลงมาจากป้อมที่มั่นของพวกเขา
และทรงบรรจุความหวาดกลัวไว้ในจิตใจของพวกเขา
ส่วนหนึ่งพวกเจ้าประหารชีวิต
(พวกเขา)
และอีกส่วนหนึ่งพวกเจ้าจับเป็นเชลย
[33:27]
และพระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าได้รับมรดกปกครองแผ่นดินของพวกเขา
และที่อยู่อาศัยของพวกเขา
และทรัพย์สินของพวกเขาและแผ่นดินที่พวกเจ้ายังมิเคยเหยียบย่างเข้าไป
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[33:28]
โอ้
นบีเอ๋ย!
จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้าเถิดว่า
หากพวกเธอปรารถนาการมีชีวิตในโลกนี้และความเพริศแพร้วของมัน
ก็จงมาเถิด
ฉันจะจัดหา
(การเลี้ยงชีพ)
ให้แก่พวกเธอ
และจะปล่อยพวกเธอให้ออกไปอย่างดีงาม
[33:29]
และหากพวกเธอปรารถนาอัลลอฮ์และ
ร่อซู้ลของพระองค์และโลกอาคิเราะฮ์แล้ว
แท้จริงอัลลอฮ์ได้เตรียมผลบุญอันใหญ่หลวงแก่เหล่าสตรีผู้กระทำความดีในหมู่พวกเธอ
[33:30]
โอ้
บรรดาภริยาของนบีเอ๋ย!
ผู้ใดในหมู่พวกเธอนำความชั่วอย่างชัดแจ้งมา
การลงโทษจะถูกเพิ่มให้แก่นางเป็นสองเท่า
ในการนั้นเป็นการง่ายดายแก่อัลลอฮ์