PART 26
Al-Ahqâf
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[46:1]
ฮามีม
[46:2]
การประทานลงมาของคัมภีร์นี้จากอัลลอฮ์
ผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[46:3]
เรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองเพื่ออื่นใดเว้นแต่ด้วยความจริง
และวาระที่ถูกกำหนดไว้
แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ผินหลังให้จากสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือน
[46:4]
จงกล่าวเถิด
มุฮัมมัด
พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ
สิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์
จงแสดงให้ข้าเห็นซิว่าพวกมันได้สร้างอะไรในแผ่นดินนี้
หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมใน
(การสร้าง)
ชั้นฟ้าทั้งหลาย
จงนำคัมภีร์ก่อนหน้านี้มาให้ข้าดูซิ
หรือจงแสดงร่องรอยแห่งความรู้
(ที่เป็นหลักฐานยืนยันในการนี้)
หากพวกท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์จริง
[46:5]
และใครเล่าจะหลงทางมากไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์ที่มันจะไม่ตอบรับ
(การวิงวอนของ)
เขาจนถึงวันกิยามะฮ์
และพวกมันเฉยเมยต่อการวิงวอนขอของพวกเขา
[46:6]
และเมื่อมนุษย์ถูกรวมให้มาชุมนุมกัน
พวกมัน
(เจว็ด) จะเป็นศัตรูกับพวกเขาและจะเป็นผู้ปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา
[46:7]
และเมื่ออายาตต่าง
ๆ
อันชัดแจ้งของเรา
ถูกสาธยายแก่พวกเขา
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวเกี่ยวกับสัจธรรม
(อัลกุรอาน) ที่ได้มีมายังพวกเขาว่า
นี่คือมายากลอย่างชัดแจ้ง
[46:8]
หรือพวกเขากล่าวว่า
เขา
(มุฮัมมัด)
ได้ปั้นแต่งอัลกุรอานนั้น
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ถ้าฉันได้ปั้นแต่งอัลกุรอานขึ้นพวกท่านก็ไม่มีอำนาจอันใดที่จะช่วยเหลือฉันได้จาก
(การลงโทษของ)
อัลลอฮ์
พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกท่านกำลังง่วนอยู่ในเรื่องนี้
พอเพียงแล้วที่พระองค์ทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน
และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[46:9]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
ฉันมิได้เป็นคนแรกในบรรดาร่อซู้ล
และฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่ฉันและแก่พวกท่าน
ฉันมิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ถูกวะฮีย์ยฺให้แก่ฉัน
และฉันมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นผู้ตักเตือนอันชัดแจ้ง
[46:10]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่า
ถ้าหากอัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์และพวกท่านปฏิเสธอัลกุรอานนั้น
ทั้ง ๆ ที่มีพยานคนหนึ่งจากวงศ์วานของอิสรออีลเป็นพยานต่อลักษณะเช่นเดียวกัน
(คือคัมภีร์อัตเตารอฮ์)
แล้วเขาก็ศรัทธาแต่พวกท่านยังดื้อรั้นหยิ่งยะโส
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะทางแก่หมู่ชนผู้อธรรม
[46:11]
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า
หากว่าอัลกุรอานนี้มีความดี
พวกเขา
(ผู้ศรัทธา)
ก็จะไม่รุดหน้าไปยังอัลกุรอานก่อนเราเป็นแน่
และโดยที่พวกเขา
(พวกปฏิเสธศรัทธา)
มิได้รับการชี้แนะทางด้วยอัลกุรอาน
ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า
นี่คือเรื่องโกหกแต่ดั้งเดิม
[46:12]
และก่อนหน้านี้
(อัลกุรอาน)
มีคัมภีร์ของมูซาเป็นแบบอย่างและความเมตตา
และนี่อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่ยืนยันเป็นภาษาอาหรับเพื่อตักเตือนบรรดาผู้กระทำความผิด
และเป็นข่าวดีสำหรับผู้กระทำความดี
[46:13]
แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า
อัลลอฮ์คือ พระเจ้าของพวกเรา
แล้วพวกเขาก็ยืนหยัด
(ปฏิบัติ)
ตามคำกล่าวนั้น
จะไม่มีความหวาดกลัวใด
ๆ แก่พวกเขา
และพวกเขาก็จะไม่เศร้าสลดใจ
[46:14]
ชนเหล่านั้นคือชาวสวนสวรรค์
พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
เป็นการตอบแทนที่พวกเขาได้กระทำไว้
[46:15]
และเราได้สั่งเสียมนุษย์ให้ทำดี
ต่อบิดามารดาของเขา
มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาด้วยความเหนื่อยยาก
และได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด
และการอุ้มครรภ์เขาและการหย่านมของเขาในระยะเวลาสามสิบเดือน
จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุวัยฉกรรจ์ของเขาและมีอายุถึงสี่สิบปี
เขาจะกล่าววิงวอนว่า
ข้าแต่พระเจ้าของเข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์
เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดของพระองค์ท่าน
ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์
และให้ข้าพระองค์ทำความดีเพื่อให้ความดีเกิดขึ้นในลูกหลานของข้าพระองค์
แท้จริงข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์
และแท้จริงข้าพระองค์อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม
[46:16]
ชนเหล่านี้คือ
บรรดาผู้ที่เรารับรองส่วนที่ดียิ่งจากพวกเขา
ซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติไว้
และเราจะละเลยความผิดต่าง
ๆของพวกเขาโดยอยู่ร่วมกับชาวสวรรค์
เป็นการสัญญาแห่งความจริงซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติไว้
และเราจะละเลยความผิดต่าง
ๆของพวกเขาโดยอยู่ร่วมกับชาวสวรรค์
เป็นการสัญญาแห่งความจริงซึ่งพวกเขาได้ถูกสัญญาไว้
[46:17]
และผู้ที่กล่าวแก่บิดามารดาของเขา
ว่า อุ๊ฟ
แก่ท่านทั้งสอง
ท่านทั้งสองขู่ฉันว่าฉันจะถูกให้ออกมาฟื้นคืนชีพอีกกระนั้นหรือ
? ทั้ง
ๆ
ที่หลายศตวรรษก่อนหน้าฉันได้ล่วงลับไปแล้ว
และเขาทั้งสองร้องขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮ์
พลางกล่าวแก่ลูกว่า
ความหายนะ
จงประสบแก่เจ้า
จงศรัทธาเถิด
แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นความจริง
แล้วเขาก็พูดว่า
เรื่องนี้มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นนิยายเหลวไหลสมัยก่อนเท่านั้น
[46:18]
ชนเหล่านี้คือ
บรรดาผู้ที่พระดำรัส
(แห่งการลงโทษ)
เป็นที่คู่ควรแก่พวกเขาที่จะเข้าร่วมอยู่กับหมู่ชนต่าง
ๆ แห่งพวกญินและมนุษย์ที่ได้ล่วงลับไปก่อนพวกเขา
แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ขาดทุน
[46:19]
และสำหรับทุกกลุ่มย่อมมีลำดับชั้นตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างครบถ้วนตามผลงานของพวกเขา
โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม
[46:20]
และวันที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าไฟนรก
(จะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า)
พวกเจ้าได้เอาสิ่งดีงามทั้งหลายของพวกเจ้าในโลกดุนยาไปแล้ว
และพวกเจ้าได้มีความสำราญกับมันแล้ว
ฉะนั้นวันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทนด้วยการลงโทษอันอัปยศ
เนื่องด้วย พวกเจ้าหยิ่งยะโสในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรมและเนื่องด้วยพวกเจ้าฝ่าฝืน
[46:21]
จงรำลึกถึง
(ฮูด)
พี่น้องคนหนึ่งของพวกอ๊าด
ขณะที่เขากล่าวเตือนหมู่ชนของเขาที่เนินเขาอัลอะฮิก๊อฟ
และแน่นอน
บรรดาผู้ตักเตือน
(ร่อซู้ล)
ก่อนหน้าเขาและภายหลังเขา
(ได้กล่าวตักเตือนว่า)
พวกท่านอย่าเคารพอิบาดะฮ์ผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์
แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่
[46:22]
พวกเขากล่าวว่า
ท่านมาหาพวกเราเพื่อจะหันห่างพวกเรา
จากการเคารพสักการะพระเจ้าทั้งหลายของเรากระนั้นหรือ
? ดังนั้นจงนำ
(การลงโทษ)
ตามที่ท่านได้สัญญากับเราไว้
หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
[46:23]
เขา
(ฮูด)
กล่าวว่า
แท้จริงความรู้
(เรื่องการลงโทษ)
นั้นอยู่ที่อัลลอฮ์
และฉันขอประกาศแก่พวกท่านตามที่ฉันได้ถูกส่งมาเพื่อการนี้
แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้งมงาย
[46:24]
ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นเมฆทึบเคลื่อนมายังที่ราบลุ่มในหมู่บ้านของพวกเขา
พวกเขากล่าวว่า
นี่คือเมฆที่จะให้น้ำฝนแก่เรา
เปล่าเลยมันคือสิ่งที่พวกเจ้าเร่งขอให้เกิด
มันคือลมพายุ
ในนั้นมีการลงโทษอันเจ็บปวด
[46:25]
มันจะทำลายทุกสิ่งตามพระบัญชาของพระเจ้าของมันแล้วพวกเขาก็กลายเป็นไม่มีอะไรให้แลเห็นนอกจากบ้านพักอาศัยของพวกเขาเท่านั้น
เช่นนี้แหละเราจะตอบแทนหมู่ชนผู้กระทำผิด
[46:26]
และแน่นอน
เราได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงแก่พวกเขา
โดยที่เรามิได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงแก่พวกเจ้าในนั้น
และเราได้ทำให้พวกเขามีหู
มีตา
และมีหัวใจ แต่ว่าหูของพวกเขา
ตาของพวกเขา
และหัวใจของพวกเขามิได้อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขา
โดยที่พวกเขาปฏิเสธสัญญาณต่าง
ๆ ของอัลลอฮ์
และสิ่งที่พวกเขาได้เคยเยาะเย้ยไว้นั้นก็ห้อมล้อมพวกเขา
[46:27]
และโดยแน่นอน
เราได้ทำลายหมู่บ้านต่าง
ๆ ที่อยู่รอบ
ๆ พวกเจ้า
และเราได้แจกแจงสัญญาณต่าง
ๆ
หลายต่อหลายครั้ง
หวังว่าพวกเขาจะกลับมาสำนึกผิด
[46:28]
ทำไมบรรดาที่พวกเขายึดถือมันเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์เพื่อความใกล้ชิด
(กับอัลลอฮ์)
จึงไม่ช่วยเหลือพวกเขาเล่า
? แต่พวกมันได้หายสาปสูญไปจากพวกเขา
และนั่นคือ
การกล่าวเท็จของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขากุขึ้น
[46:29]
และจงรำลึกเมื่อเราได้ให้ญินจำนวนหนึ่งมุ่งไปยังเจ้า
เพื่อฟังอัลกุรอาน
ครั้นเมื่อพวกเขามาปรากฏตัวต่อหน้าอัลกุรอาน
พวกเขากล่าวว่า
จงนิ่งฟังซิ
เมื่อ
(การอ่าน) จบลงแล้ว
พวกเขาก็หันกลับไปยังหมู่ชนของพวกเขาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ตักเตือน
[46:30]
พวกเขากล่าวว่า
โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย
แท้จริงเราได้ฟังคัมภีร์
(อัลกุรอาน)
ถูกประทานลงมาหลังจากมูซา
เป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้มีมาก่อนอัลกุรอาน
เพื่อชี้แนะทางไปสู่สัจธรรม
และแนวทางที่เที่ยงตรง
[46:31]
โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย
จงตอบรับต่อผู้เรียกร้องของอัลลอฮ์เถิด
และจงศรัทธาต่อเขา
พระองค์จะทรงอภัยโทษจากความผิดของพวกท่านให้แก่พวกท่าน
และจะทรงให้พวกท่านรอดพ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวด
[46:32]
และผู้ใดที่ไม่ตอบรับผู้เรียกร้องของอัลลอฮ์
เขาจะไม่รอดพ้น
(จากการลงโทษ)
ในแผ่นดินนี้
และสำหรับเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์
ชนเหล่านี้อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[46:33]
และพวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า
แท้จริงอัลลอฮ์
ซึ่งทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้
และมิทรงอ่อนเพลียต่อการสร้างสิ่งเหล่านั้น
ย่อมทรงเป็นผู้อานุภาพที่จะให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีก
แน่นอนแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุก
ๆ สิ่ง
[46:34]
และวันซึ่งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าไฟนรก
(จะมีเสียงกล่าวขึ้นว่า)
นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ
? พวกเขากล่าวว่า
แน่นอนครับ
ขอสาบานต่อพระเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษตามที่พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธา
[46:35]
ดังนั้นเจ้าจงอดทนดังเช่นบรรดาผู้ตั้งจิตมั่นแห่งร่อซู้ลทั้งหลาย
ได้อดทนมาก่อนแล้ว
และอย่ารีบเร่ง
(ให้มีการลงโทษ)
แก่พวกเขา
วันที่พวกเขาจะเห็นสิ่งที่ถูกสัญญาไว้แก่พวกเขานั้น
ประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่ในโลกนี้เว้นแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งยามกลางวันเท่านั้น
นี้คือการประกาศตักเตือนดังนั้นความหายนะจะไม่ประสบแก่ผู้ใดนอกจากหมู่ชนผู้ฝ่าฝืนเท่านั้น
Muhammad
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[47:1]
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
และปิดกั้นให้ห่างจากทางของอัลลอฮ์นั้น
พระองค์ได้ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
[47:2]
ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย
และศรัทธาในสิ่งที่ถูกประทานแก่มุฮัมมัด
และว่าอัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรมมาจากพระเจ้าของพวกเขา
พระองค์จะทรงลบล้างความชั่วของพวกเขา
ให้ออกไปจากพวกเขาและจะทรงปรับปรุงสภาพของพวกเขาให้ดีขึ้น
[47:3]
ทั้งนี้เพราะว่า
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ปฏิบัติตามความเท็จ
แต่ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาได้ปฏิบัติตามสัจธรรมมาจากพระเจ้าของพวกเขา
เช่นนี้แหละอัลลอฮ์ทรงยกอุทาหรณ์ทั้งหลายของพวกเขาแก่ปวงมนุษย์
[47:4]
และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จงฟันที่คอ
(จงฆ่าเสีย)
จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว
ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลยหลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้
จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ
เช่นนั้นแหละ
และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แน่นอน
พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา
แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน
ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮ์พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด
[47:5]
พระองค์จะทรงชี้แนะทางแก่พวกเขาและจะทรงปรับปรุงสภาพของพวกเขาให้ดีขึ้น
[47:6]
และจะทรงให้พวกเขาเขาสวนสวรรค์
ซึ่งพระองค์ทรงแจ้งให้พวกเขารู้แล้ว
[47:7]
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
หากพวกเจ้าสนับสนุน
(ศาสนาของ)
อัลลอฮ์พระองค์ก็จะทรงสนับสนุนพวกเจ้าและจะทรงตรึงเท้าของพวกเจ้าให้มั่นคง
[47:8]
ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ความพินาศหายนะจะได้แก่พวกเขาและพระองค์ได้ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
[47:9]
ทั้งนี้เพราะว่า
พวกเขาเกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา
พระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
[47:10]
พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ
แล้วพิจารณาดูว่า
บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขานั้นเป็นเช่นใด? อัลลอฮ์ได้ทรงทำลายล้างพวกเขา
และสำหรับพวกปฏิเสธศรัทธาก็เป็นเช่นเดียวกัน
[47:11]
ทั้งนี้เพราะว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงคุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธา
และแน่นอนพวกปฏิเสธศรัทธาไม่มีผู้คุ้มครองสำหรับพวกเขา
[47:12]
แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายเข้าสู่สวนสวรรค์หลากหลาย
ณ
เบื้องล่างสวนสวรรค์มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน
ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นพวกเขาจะหลงระเริงและกินเยี่ยงปศุสัตว์กัน
และไฟนรกคือที่พำนักของพวกเขา
[47:13]
และกี่เมืองมาแล้ว
ที่มันมีพลังเข้มแข็งกว่าเมืองของเจ้า
ซึ่งมันขับใสเจ้า
(มุฮัมมัด)
ออกไป เราได้ทำลายล้างพวกเขา
ดังนั้น
สำหรับพวกเขาจึงไม่มีผู้ช่วยเหลือ
[47:14]
ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของเขาจะเหมือนกับผู้ที่ความชั่วแห่งการงานของเขาได้ถูกทำให้เพริศแพร้วแก่เขา
และพวกเขาก็ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขากระนั้นหรือ?
[47:15]
อุปมาของสวนสวรรค์ซึ่งบรรดาผู้ยำเกรงได้ถูกสัญญาไว้ในสวนสวรรค์นั้นมีธารน้ำหลายสายที่ไม่ผันแปร
(ทั้งรสและกลิ่น)
และธารน้ำนมหลายสาย
ที่รสชาติของมันไม่เปลี่ยนแปลง
และธารน้ำจัณฑ์
(เหล้า) หลายสายเป็นโอชะอร่อยแก่ผู้ดื่ม
และธารน้ำผึ้งที่สะอาดบริสุทธิ์หลายสาย
และสำหรับพวกเขาในสวนสวรรค์นั้นมีผลไม้หลายชนิด
และการอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขาจะเหมือนกับผู้ที่พำนักอยู่ในไฟนรก
และถูกให้ดื่มน้ำร้อนจัดแล้วมันตัดลำไส้ของพวกเขากระนั้นหรือ?
[47:16]
ในหมู่พวกเขามีผู้เงี่ยหูฟังเจ้าจนกระทั่งเมื่อพวกเขาออกไปจากเจ้า
พวกเขาก็จะพูดแก่ผู้มีความรู้ว่า
เมื่อกี้นี้เขา
(มุฮัมมัด)
พูดอะไรกัน
ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขา
และพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา
[47:17]
ส่วนผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง
พระองค์ทรงเพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา
และจะทรงประทานให้แก่พวกเขาซึ่งการยำเกรงของพวกเขา
[47:18]
ดังนั้น
พวกเขามิได้คอยสิ่งใดนอกจากยามอวสานซึ่งมันจะมาหาพวกเขาอย่างกระทันหัน
แต่ว่าเครื่องหมายต่าง
ๆ
ของมันได้มีมาแล้ว
ดังนั้น
เมื่อการตักเตือนของพวกเขาได้มายังพวกเขาแล้วจะเกิดประโยชน์อันใดเล่าแก่พวกเขา?
[47:19]
ฉะนั้นพึงรู้เถิดว่า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และจงขออภัยโทษต่อความผิดเพื่อตัวเจ้าและเพื่อบรรดาผู้ศรัทธาหญิง
และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งถึงพฤติการณ์ของพวกเจ้าและที่พำนักของพวกเจ้า
[47:20]
และบรรดาผู้ศรัทธากล่าวว่า
ทำไม่สักซูเราะฮ์หนึ่งจึงไม่ถูกประทานลงมา? ครั้นเมื่อซูเราะฮ์หนึ่งที่รัดกุมชัดเจนถูกประทานลงมา
และได้มีการทำสงครามถูกรวมไว้ในนั้น
เจ้าจะเห็นบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรคจะจ้องมองไปยังเจ้าเสมือนการมองของผู้เป็นลมใกล้จะตาย
ดังนั้นความหายนะจงประสบแก่พวกเขาเถิด
[47:21]
การเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดที่ดีไพเราะ
(นั้นเป็นการที่ดียิ่ง)
ดังนั้นเมื่อกิจการใดถูกกำหนดไว้แล้ว
หากว่าพวกเขาจริงใจต่ออัลลอฮ์แล้ว
ก็จะเป็นการดีแก่เขา
[47:22]
ดังนั้น
หวังกันว่า
หากพวกเจ้าผินหลังให้
(กับการอีมานแล้ว)
พวกเจ้าก็จะก่อความเสียหายในแผ่นดินและตัดความสัมพันธ์ทางเครือญาติของพวกเจ้ากระนั้นหรือ?
[47:23]
ชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงสาปแช่งพวกเขา
ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้พวกเขาหูหนวก
และทรงทำให้พวกเขาตาบอด
[47:24]
พวกเขามิได้พิจารณาใคร่ครวญอัลกุรอานดอกหรือ? แต่ว่าบนหัวใจของพวกเขามีกุญแจหลายดอกลั่นอยู่
[47:25]
แท้จริงบรรดาผู้ผินหลังกลับของพวกเขาหลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว
ชัยตอนมารร้ายได้ล่อลวง
พวกเขาได้ให้ความหวังแก่พวกเขา
(ว่าจะมีชีวิตยืนนาน)
[47:26]
ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้เกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาว่าเราจะเชื่อฟังปฏิบัติตามในกิจการบางอย่าง
แต่อัลลอฮ์ทรงทราบดีถึงความลับของพวกเขา
[47:27]
แล้ว
(สภาพของพวกเขา)
จะเป็นเช่นไร
เมื่อมลาอิกะฮ์มาเอาชีวิตของพวกเขาโดยตีใบหน้าของพวกเขาและหลังของพวกเขา
[47:28]
ทั้งนี้เพราะว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่จะก่อความกริ้วแด่อัลลอฮ์และพวกเขารังเกียจความโปรดปรานของพระองค์
ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
[47:29]
บรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขามีโรคคิดหรือว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงนำเอาความอิจฉาริษยาของพวกเขาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
[47:30]
และหากเราประสงค์แน่นอนเราจะเปิดเผยพวกเขาแก่เจ้า
แล้วเจ้าก็จะรู้จักพวกเขาอย่างแน่นอนที่เครื่องหมายของพวกเขา
และแน่นอนเจ้าจะรู้จักพวกเขาได้ในน้ำเสียงแห่งการพูด
และอัลลอฮ์ทรงรู้ดีถึงการงานของพวกเจ้า
[47:31]
และแน่นอนเราจะทดสอบพวกเจ้าจนกระทั่งเราจะได้รู้ถึงบรรดาผู้ต่อสู้ดิ้นรน
และบรรดาผู้หนักแน่นอดทนในหมู่พวกเจ้า
และเราจะทดสอบการงานของพวกเจ้า
[47:32]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและปิดกั้นให้ห่างจากทางของอัลลอฮ์และต่อต้านร่อซู้ลนี้หลังจากที่แนวทางที่ถูกต้องได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว
พวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด
ๆ
แก่อัลลอฮ์ได้เลย
พระองค์จะทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
[47:33]
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
จงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซู้ลคนนี้เถิดและอย่าทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์
[47:34]
แท้จริง
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและปิดกั้นให้ห่างจากทางของอัลลอฮ์
แล้วพวกเขาตายลงทั้ง
ๆ
ที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่
อัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้พวกเขาเลย
[47:35]
ดังนั้น
พวกเจ้าอย่าท้อแท้และเรียกร้องไปสู่การสงบศึก
เพราะพวกเจ้าเป็นผู้อยู่เหนือสุด
และอัลลอฮ์ทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงลิดรอนผลตอบแทนแห่งการงานของพวกเจ้า
[47:36]
การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เป็นแต่เพียงการละเล่นและการสนุกสนานร่าเริงเท่านั้น
และหากพวกเจ้าศรัทธาและยำเกรงพระองค์จะทรงประทานรางวัลของพวกเจ้าแก่พวกเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงขอทรัพย์สินของพวกเจ้า
[47:37]
หากพระองค์จะทรงขอทรัพย์สินต่อพวกเจ้าและทรงรบเร้าพวกเจ้า
(ให้บริจาค)
พวกเจ้าก็จะตระหนี่
และพระองค์จะทรงนำเอาความอึดอัดใจของพวกเจ้าออกมาให้ประจักษ์
[47:38]
พึงรู้เถิดว่าพวกเจ้านี้แหละคือหมู่ชนที่ถูกเรียกร้องให้บริจาคในทางของอัลลอฮ์แต่มีบางคนในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้ตระหนี่
ดังนั้น
ผู้ใดตระหนี่เขาก็ตระหนี่แก่ตัวของเขาเอง
เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมั่งมี
แต่พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสนและถ้าพวกเจ้าเผินหลังออก
พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นแทนพวกเจ้า
แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า
Al-Fath
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[48:1]
แท้จริงเราได้ให้ชัยชนะแก่เจ้าซึ่งเป็นชัยชนะอย่างชัดแจ้ง
[48:2]
เพื่ออัลลอฮจะได้ทรงอภัยโทษความผิดของเจ้าที่ได้ล่วงไปแล้วและที่จะเกิดขึ้นภายหลังและจะทรงให้ความโปรดปรานของพระองค์ครบสมบูรณ์แก่เจ้าและทรงชี้แนะทางแก่เจ้าคือทางอันเที่ยงตรง
[48:3]
และอัลลอฮ์จะทรงช่วยเหลือเจ้าด้วยการช่วยเหลืออย่างเข้มแข็ง
[48:4]
พระองค์คือผู้ทรงประทานความเงียบสงบลงมาในจิตใจของบรรดาผู้ศรัทธา
เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธาให้กับการศรัทธาของพวกเขา
และเป็นของอัลลอฮ์คือไพร่พลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ
[48:5]
เพื่อพระองค์จะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิงได้เข้าสวนสวรรค์หลากหลายณเบื้องล่างของสวนสวรรค์มีธารน้ำหลายสายไหลผ่านพวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ตลอดกาลในนั้นและพระองค์จะทรงลบล้างความชั่วของพวกเขาออกจากพวกเขาและนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวงฯที่อัลลอฮ์
[48:6]
และเพื่อพระองค์จะทรงลงโทษแก่พวกมุนาฟิกีนชายและพวกมุนาฟิกีนหญิงและบรรดาผู้ตั้งภาคีชาย
(มุชริกีน)
และบรรดาผู้ตั้งภาคีหญิง
(มุชริก๊าต)
โดยพวกเขาคิดเกี่ยวกับอัลลอฮ์ด้วยความคิดร้ายเหตุร้ายเหล่านั้นจงประสบแก่พวกเขาเถิดและอัลลอฮ์ทรงโกรธกริ้วแก่พวกเขาและทรงสาปแช่งพวกเขาอีกทั้งทรงเตรียมนรกญะฮันนัมไว้สำหรับพวกเขาอีกด้วยและมันเป็นทางกลับที่ชั่วร้ายยิ่ง
[48:7]
และเป็นของอัลลอฮ์คือไพร่พลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
[48:8]
แท้จริงเราได้ส่งเจ้า
(มุฮัมมัด)
มาเพื่อเป็นพยานและผู้แจ้งข่าวดีและผู้แจ้งข่าวร้าย
[48:9]
เพื่อให้พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์
และให้ความช่วยเหลือเขา
(ร่อซู้ล)
และแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ทั้งในยามเช้าและยามเย็น
[48:10]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ให้สัตยาบันกับเจ้านั้นเสมือนกับว่าพวกเขาได้ให้สัตยาบันกับอัลลอฮ์พระหัตถ์ของอัลลอฮ์ทรงอยู่เหนือมือของพวกเขาฉะนั้นผู้ใดทำลาย
(สัตยาบัน)
เสมือนกับว่าเขาทำลายตัวของเขาเองส่วนผู้ใดปฏิบัติตามสัญญาที่เขาได้มีไว้กับอัลลอฮ์โดยครบถ้วนพระองค์ก็จะทรงตอบแทนรางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา
[48:11]
ชาวอาหรับชนบทที่เหลืออยู่ในเมืองจะกล่าวแก่เจ้าว่าทรัพย์สินของเราและครอบครัวของเราทำให้เรามีธุระยุ่งอยู่
ดังนั้นได้โปรดขออภัยให้แก่เราด้วย
พวกเขากล่าวด้วยลิ้นของพวกเขาโดยไม่มีอะไรในหัวใจของพวกเขา
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดใครเล่าจะมีอำนาจอันใดที่จะป้องกันพวกเจ้าจากอัลลอฮ์หากพระองค์ทรงประสงค์ให้ความทุกข์แก่พวกเจ้า
หรือพระองค์ทรงประสงค์จะให้ประโยชน์แก่พวกเจ้า
แต่ว่าอัลลอฮ์ทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[48:12]
หามิได้พวกเจ้าคิดว่าอัลร่อซู้ลและบรรดามุอ์มินผู้ศรัทธาจะไม่กลับไปยังครอบครัวของพวกเขาเป็นอันขาดและนั่นได้ถูกทำให้เป็นที่เพริศแพร้วในจิตใจของพวกเจ้าและพวกเจ้าได้คิดร้ายและพวกเจ้าเป็นหมู่ชนที่วิบัติ
[48:13]
และถ้าผู้ใดมิได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
แท้จริงเราได้เตรียมไฟที่ลุกโชติช่วงไว้สำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา
[48:14]
และอำนาจเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์จะทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[48:15]
บรรดาผู้ที่เหลืออยู่ในเมืองจะกล่าวว่า
เมื่อพวกท่านออกเดินทางไปยังกองทรัพย์เชลย
(ที่ค็อยบัร)
เพื่อไปยึดเอามา
ก็จงปล่อยให้พวกเราออกติดตามพวกท่านไปด้วย
พวกเขาประสงค์ที่จะเปลี่ยนคำกล่าวของอัลลอฮ์
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด
พวกท่านจะติดตามพวกเราไปไม่ได้เป็นอันขาด
เพราะอัลลอฮ์ได้ตรัสไว้ก่อนแล้ว
พวกเขาก็จะกล่าวอีกว่า
หามิได้พวกท่านอิจฉาพวกเรา
เปล่าเลยพวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากเพียงเล็กน้อย
[48:16]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่ชาวอาหรับชนบทที่เหลืออยู่ในเมืองว่าพวกท่านจะถูกเรียกให้ไปร่วมต่อสู้พวกเขาหรือให้พวกเขายอมจำนนดังนั้นเมื่อพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮก็จะทรงประทานรางวัลอันดีงามแก่พวกท่านแต่ถ้าพวกท่านผินหลังออกมาก่อนแล้วพระองค์จะทรงลงโทษพวกท่านด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด
[48:17]
ไม่เป็นการลำบากอันใดแก่คนตาบอดและไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนพิการและไม่เป็นการลำบากใจอันใดแก่คนป่วยแต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮและร่อซู้ลของพระองค์พระองค์จะทรงให้เขาเข้าสู่สวนสวรรค์หลากหลายณเบื้องล่างมีธารน้ำหลายสายไหลผ่านส่วนผู้ใดผินหลังออกพระองค์จะทรงลงโทษเขาด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด
[48:18]
โดยแน่นอนอัลลอฮ์ทรงโปรดปรานต่อบรรดาผู้ศรัทธาขณะที่พวกเขาให้สัตยาบันแก่เจ้าใต้ต้นไม้
(ที่ฮุดัยบิยะฮ์)
เพราะพระองค์ทรงรอบรู้ดีถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขา
พระองค์จึงได้ทรงประทานความสงบใจลงมาบนพวกเขา
และได้ทรงตอบแทนให้แก่พวกเขาซึ่งชัยชนะอันใกล้นี้
[48:19]
และทรัพย์เชลยอันมากมายที่พวกเขาจะได้รับมันและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
[48:20]
อัลลอฮ์ด้ทรงสัญญาแก่พวกเจ้าซึ่งทรัพย์เชลยอันมากมายที่พวกเจ้าจะได้รับมันโดยพระองค์ทรงเร่ง
(ทรัพย์เชลยที่ค็อยบัร)
อันนี้แก่พวกเจ้าและพระองค์ทรงยับยั้งมือของผู้คน
(พวกยะฮูด)
จาก
(การทำร้าย)
พวกเจ้าและเพื่อมัน
(การยับยั้งจากการทำร้าย)
จะได้เป็นสัญญาณหนึ่งแก่บรรดาผู้ศรัทธาและเพื่อพระองค์จะได้ทรงชี้แนะทางแก่พวกเจ้าสู่ทางอันเที่ยงตรงพระองค์จะได้ทรงชี้แนะทางแก่พวกเจ้าสู่ทางอันเที่ยงตรง
[48:21]
และทรัพย์เชลยอันอื่นอีกที่พวกเจ้าไม่มีกำลังที่จะเอาชนะมันได้แต่อัลลอฮทรงล้อมพวกมันไว้แล้ว
(คืออาณาจักรเปอร์เซียและโรมันตะวันออก)
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งอย่าง
[48:22]
และถ้าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ต่อสู้กับพวกเจ้า
พวกเขาก็จะผินหลังกลับอย่างแน่นอน
แล้วพวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือ
[48:23]
นั่นคือแนวทางของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อน
และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ
ในแนวทางของอัลลอฮ์
[48:24]
และพระองค์คือผู้ทรงยับยั้งมือของพวกเขาจากพวกเจ้า
และมือของพวกเจ้าจากพวกเขา
(มิให้มีการสู้รบกัน)
ที่หุบเขานครมักกฮ:
(ที่ฮุดัยบียะฮ์)
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้ามีชัยชนะเหนือพวกเขา
และอัลลอฮ์ทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[48:25]
พวกเขาคือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและปิดกั้นพวกเจ้าให้หันห่างจากมัสยิดอัลหะรอม
และการเชือดสัตว์พลีที่ถูกกักกันไว้มิให้บรรลุสู่ที่เชือดของมัน
และหากมิใช่เพราะมีบรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิงซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกเขา
พวกเจ้าก็จะฆ่าพวกเขา
แล้วก็จะก่อให้เกิดโทษแก่พวกเจ้าเพราะพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
ทั้งนี้เพื่ออัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์
หากพวกเขาแยกออกจากกัน
แน่นอนเราก็จะลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกเขาซึ่งการลงโทษอันเจ็บปวด
[48:26]
ขณะที่พวกปฏิเสธศรัทธาได้ทำให้ความหยิ่งยะโสมีขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ซึ่งเป็นความหยิ่งยะโสในสมัยแห่งความงมงาย
อัลลอฮ์จึงประทานความเงียบสงบของพระองค์ให้แก่ร่อซู้ลของพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธา
[48:27]
โดยแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงทำให้ความฝันนั้นสมจริงแก่ร่อซู้ลของพระองค์ด้วยความจริง
แน่นอนพวกเจ้าจะได้เข้าสู่มัสยิดอัลหะรอมอย่างปลอดภัยหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์
(อินชาอัลลอฮ์)
โดย (บางคน)
โกนผมของพวกเจ้าและ
(อีกบางคน)
ตัดผม
พวกเจ้าอย่าได้หวาดกลัว
เพราะอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้
ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงกำหนดชัยชนะอื่นจากนั้น
ซึ่งชัยชนะอันใกล้นี้
[48:28]
พระองค์คือผู้ทรงส่งร่อซู้ลของพระองค์พร้อมด้วยแนวทางที่ถูกต้องและศาสนาแห่งสัจธรรมเพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนา
(ของพระองค์)
นั้นประจักษ์แจ้งเหนือศาสนาอื่นทั้งมวล
และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน
[48:29]
มุฮัมมัดเป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์
และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา
เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา
เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง
เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รูกั๊วะ
ผู้สุญูด
โดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮ์และความโปรดปราน
(ของพระองค์)
เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด
นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต
และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีล
ประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม
แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน
นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน
เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธา
เพราะพวกเขา
(มุสลิมีน)
และอัลลอฮ์ทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง
Al-Hujurât
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[49:1]
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย
!
พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า
(ในการกระทำใด
ๆ)
เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์
พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[49:2]
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย!
พวกเจ้าอย่าได้ยกเสียงของพวกเจ้าเหนือเสียงของอัลนบี
และอย่าพูดเสียงดังกับเขา
(มุฮัมมัด)
เยี่ยงการพูดเสียงดังของบางคนของพวกเจ้ากับอีกบางคน
เพราะ
(เกรงว่า)
การงานต่าง ๆ
ของพวกเจ้าจะสูญเสียไป
โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัว
[49:3]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ลดเสียงของพวกเขา
ณ ที่ร่อซู้ลุลลอฮ์นั้น
ชนเหล่านั้น
คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงทดสอบจิตใจของพวกเขาเพื่อความยำเกรง
สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง
[49:4]
แท้จริงบรรดาผู้ส่งเสียงเรียกเจ้าทางเบื้องหลังห้องหับเหล่านั้น
ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา
[49:5]
และหากว่าพวกเขาอดทนไว้จนกว่าเจ้าจะออกมาหาพวกเขาแล้ว
แน่นอนมันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเขา
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[49:6]
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย
!
หากคนชั่วนำข่าวใดๆ
มาแจ้งแก่พวกเจ้า
พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด
หาไม่แล้วพวกเจ้าก็จะก่อเคราะห์กรรมแก่พวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป
[49:7]
และพวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า
ในหมู่พวกเจ้านั้นมีร่อซู้ลของอัลลอฮ์อยู่
หากเขา (มุฮัมมัด)
เชื่อฟังพวกเจ้าในส่วนใหญ่ของกิจการแล้ว
แน่นอนพวกเจ้าก็จะลำบากกัน
แต่อัลลอฮ์ทรงให้การศรัทธาเป็นที่รักแก่พวกเจ้า
และทรงให้การปฏิเสธศรัทธา
และความชั่วช้าและการฝ่าฝืนเป็นที่น่าเกลียดชังแก่พวกเจ้า
ชนเหล่านั้นคือพวกที่ดำเนินอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
[49:8]
มันเป็นคุณธรรมและความโปรดปรานจากอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[49:9]
และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน
พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย
หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮ์
ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับ
(สู่พระบัญชาของอัลลอฮ์)
แล้ว
พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรม
(แก่ทั้งสองฝ่าย)
เถิด
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม
[49:10]
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน
ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า
และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา
[49:11]
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย!
ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยชนอีกกลุ่มหนึ่ง
บางทีชนกลุ่มที่ถูกเยาะเย้ยนั้นจะดีกว่าชนกลุ่มที่เยาะเย้ย
และสตรีกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยจะดีกว่ากลุ่มที่เยาะเย้ย
และพวกเจ้าอย่าได้ตำหนิตัวของพวกเจ้าเอง
และอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ
ช่างเลวทรามจริง
ๆ
ที่บรรดาผู้ศรัทธาจะเรียกกันว่าเป็นผู้ฝ่าฝืน
ภายหลังจากที่ได้มีการศรัทธากันแล้ว
และผู้ใดไม่สำนึกผิด
ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้อธรรม
[49:12]
โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย!
พวกเจ้าจงปลีกตัวให้พ้นจากส่วนใหญ่ของการสงสัย
แท้จริงการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป
และพวกเจ้าอย่าสอดแนม
และบางคนในหมู่พวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน
คนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ? พวกเจ้าย่อมเกลียดมัน
และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[49:13]
โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย
แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย
และเพศหญิง
และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า
และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า
ณ
ที่อัลลอฮ์นั้น
คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[49:14]
อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า
เราศรัทธาแล้ว
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า
พวกท่านยังมิได้ศรัทธา
แต่จงกล่าวเถิดว่า
เราเข้ารับอิสลามแล้ว
เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน
และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์แล้ว
พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[49:15]
แท้จริงศรัทธาชนที่แท้จริงนั้น
คือ บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
แล้วพวกเขาไม่สงสัยเคลือบแคลงใจ
แต่พวกเขาได้เสียสละต่อสู้ดิ้นรนด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา
และชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮ์
ชนเหล่านั้นแหละคือบรรดาผู้สัตย์จริง
[49:16]
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า
พวกท่านจะบอกอัลลอฮ์เกี่ยวกับศาสนาของพวกท่านกระนั้นหรือ? อัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน
และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
[49:17]
พวกเขาถือเป็นบุญคุณแก่เจ้าว่าพวกเขาได้รับอิสลามแล้ว
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่าพวกท่านอย่าถือเอาการเป็นอิสลามของพวกท่านมาเป็นบุญคุณแก่ฉันเลย
แต่ทว่าอัลลอฮ์ทรงประทานบุญคุณแก่พวกท่านต่างหาก
โดยชี้นำพวกท่านสู่การศรัทธา
หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[49:18]
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และอัลลอฮ์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
Qâf
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[50:1]
ก็อฟ
ขอสาบานด้วยอัลกุรอานอันทรงเกียรติ
[50:2]
แต่ว่าพวกเขาประหลาดใจที่มีผู้ตักเตือนคนหนึ่งจากหมู่พวกเขามายังพวกเขา
ดังนั้นพวกปฏิเสธศรัทธาจึงกล่าวว่า
นี่มันเป็นเรื่องประหลาดจริง
ๆ
[50:3]
เมื่อเราตายและกลายเป็นฝุ่นดินไปแล้ว
จะกลับมีชีวิตอีกกระนั้นหรือ? นั่นเป็นการกลับที่ไกลเหลือเกิน
[50:4]
แน่นอนเรารู้ดีว่า
กี่มากน้อยแล้วที่แผ่นดินทำให้พวกเขามีจำนวนลดน้อยลง
และ ณ ที่เรานั้นมีบันทึกรักษาไว้
[50:5]
เปล่าเลย!
พวกเขาปฏิเสธความจริงต่างหาก
เมื่อมันได้มีมายังพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในภาวะที่สับสน
[50:6]
พวกเขามิได้มองไปยังฟากฟ้าเหนือพวกเขาดอกหรือ
ว่าเราได้สร้างมันและประดับมันไว้อย่างไร
และมันไม่มีรอยร้าวหรือช่องโหว่เลย
[50:7]
และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่ให้มันกว้างออกไปและในแผ่นดินเราได้ปักภูเขาไว้อย่างมั่นคง
และในแผ่นดินนั้นเราให้พฤกษชาติทุกชนิดงอกเงยออกมาเป็นคู่
ๆ
อย่างสวยงาม
[50:8]
เพื่อให้เป็นที่สังเกตและเป็นการเตือนให้รำลึกแก่บ่าวทุกคนผู้สำนึกผิด
[50:9]
และเราได้ให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้าเป็นที่จำเริญแล้วด้วยน้ำนั้น
เราได้ให้งอกเงยออกมาเป็นสวนอันหลากหลาย
และเมล็ดพืชสำหรับเก็บเกี่ยว
[50:10]
และต้นอินทผลัม
อย่างสูงตระหง่าน
ลำต้นของมันมีพวงย้อยลงมามีผลซ้อนกันเป็นตับ
[50:11]
เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่ปวงบ่าว
และด้วยน้ำนั้นเราทำให้ดินแดนที่แห้งแล้งมีชีวิตชีวาขึ้นใหม่
เช่นนั้นแหละการฟื้นคืนชีพ
[50:12]
หมู่ชนของนูหได้ปฏิเสธมาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว
และชาวร็อส
(บ่อน้ำ)
และษะมูด
[50:13]
และอ๊าด
และฟิรเอาน์:และพี่น้องของลู๊ฎ
[50:14]
และชาวป่าทึบ
และหมู่ชนของตุ๊บบะอ:พวกเหล่านั้นทั้งหมดได้ปฏิเสธบรรดาร่อซู้ล
ดังนั้นสัญญาของเราจึงเหมาะสมคู่ควรแก่พวกเขา
[50:15]
เราได้เหน็ดเหนื่อยต่อการสร้างครั้งแรกกระนั้นหรือ? เปล่าเลย!
แต่ว่าพวกเขาอยู่ในการสงสัยต่อการสร้างครั้งใหม่ต่างหาก
[50:16]
และโดยแน่นอน
เราได้บังเกิดมนุษย์มา
และเรารู้ดียิ่งที่จิตใจของเขากระซิบกระซาบแก่เขา
และเรานั้นใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดชีวิตของเขาเสียอีก
[50:17]
จงรำลึกขณะที่มาะลาอิกะฮ์ผู้บันทึกสองท่านบันทึก
ท่านหนึ่งนั่งทางข้างขวา
และอีกท่านหนึ่งนั่งทางข้างซ้าย
[50:18]
ไม่มีคำพูดคำใดที่เขากล่าวออกมา
เว้นแต่ใกล้
ๆ เขานั้นมี
(มะลัก)
ผู้เฝ้าติดตาม
ผู้เตรียมพร้อม
(ที่จะบันทึก)
[50:19]
และอาการมึนงงแห่งความตายได้ปรากฏขึ้นอย่างประจักษ์แจ้ง
และนั่นคือสิ่งที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงจากมันไปไม่ได้
[50:20]
และสังข์จะถูกเป่าขึ้น
นั่นคือวันแห่งการสัญญา
[50:21]
และทุก
ๆชีวิตจะมาพร้อมกับเขาคือมะลักผู้นำทาง
และมะลักผู้เป็นพยาน
[50:22]
โดยแน่นอนเจ้าไม่สนใจต่อเรื่องนี้
นั้นเราจึงเปิดสิ่งที่ปกคลุมเจ้าอยู่ให้ออกไปจากเจ้า
วันนี้สายตาของเจ้าจึงเฉียบขาด
[50:23]
มะลักผู้ถูกมอบหมายกล่าวว่า
นี่คือสิ่งที่เตรียมไว้อยู่ที่ข้าพระองค์
[50:24]
เจ้าทั้งสองจงโยนทุกคนที่ปฏิเสธศรัทธา
และดื้อรั้น
[50:25]
ผู้ขัดขวางการทำดี
ผู้ฝ่าฝืน
ผู้สงสัย
[50:26]
ซึ่งตั้งพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ์ดังนั้นเจ้าทั้งสองจงโยนเขาสู่การลงโทษอันสาหัส
[50:27]
(ชัยตอน)
สหายของเขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของเรา
ข้าพระองค์มิได้ทำให้เขาหลงผิดดอกแต่ทว่าเขาได้อยู่ในการหลงผิดมาก่อนแล้ว
[50:28]
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าอย่ามาโต้เถียงต่อหน้าข้าเลย
และแน่นอนข้าได้เตือนพวกเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว
[50:29]
พระดำรัสของข้า
จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
ณ บัดนี้
และข้าก็มิได้เป็นผู้ยุติธรรมต่อปวงบ่าวของข้าเลย
[50:30]
วันซึ่งเราจะกล่าวแก่นรกญะฮันนัมว่า
เจ้าเต็มแล้วหรือ
และมันจะกล่าวว่า
ยังมีเพิ่มอีกไหม
[50:31]
และสวนสวรรค์ก็ถูกนำให้มาใกล้แก่บรรดาผู้ยำเกรงมันมิได้อยู่ไกลเลย
[50:32]
นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้สำหรับทุกคนที่สำนึกผิด
(หันหน้าเข้าหาอัลลอฮ์)
ผู้รักษาบัญญัติ
(ของอัลลอฮ์)
[50:33]
ผู้ที่เกรงกลัวพระผู้ทรงกรุณาปรานีโดยทางลับ
และมาหา
(พระองค์)
ด้วยจิตใจที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว
[50:34]
พวกเจ้าจงเข้าไปในสวนสวรรค์ด้วยความศานติ
นั่นคือวันแห่งการพำนักอยู่ตลอดกาล
[50:35]
สำหรับพวกเขาจะได้รับสิ่งที่พวกเขาพึงประสงค์ในสวนสวรรค์
และ
ณที่เรานั้นยังมีอีกมากมาย
[50:36]
เราได้ทำลายผู้คนไปกี่มากน้อยแล้วก่อนหน้าพวกเขาทั้ง
ๆ
ที่เขาทั้งหลายมีความเข้มแข็งทางสมรรถภาพกว่าพวกเจ้า
แล้วพวกเขาได้ออกเดินทางไปตามเมืองต่าง
ๆ (พวกเขาเหล่านั้น)
มีทางหนีรอดหรือ?
[50:37]
แท้จริงในการนั้น
แน่นอนย่อมเป็นข้อตักเตือนแก่ผู้มีหัวใจ
หรือรับฟังโดยที่เขามีความตั้งใจจริง
[50:38]
และโดนแน่นอน
เราได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสองในเวลา
6 วัน
และไม่มีความเหน็ดเหนื่อยใด
ๆ มาสัมผัสเรา
[50:39]
ดังนั้น
เจ้าจงอดทนต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวถึง
และจงแซ่ซ้องด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์และก่อนการตก
(ของมัน)
[50:40]
และระหว่างเวลากลางคืน
ก็จงสดุดีพระองค์ด้วย
และหลังเวลาสุญูด
[50:41]
และเจ้าจงฟังวันที่ผู้เรียกร้องจะร้องเรียกจากสถานที่ใกล้ๆ*
[50:42]
วันที่พวกเขาจะได้ยินเสียงเป่าสังข์อย่างแท้จริง
นั่นคือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ*
[50:43]
เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าว
และเราเป็นผู้ให้
(เขา)
ตายและยังเราคือการกลับไป*
[50:44]
วันที่แผ่นดินจะแยกออกจากพวกเขา
(และพวกเขาจะ)
ออกมาอย่างรีบเร่ง
นั่นการชุมนุมที่ง่ายดายแก่เรา*
[50:45]
เรารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขากล่าว
และเจ้ามิได้เป็นผู้ทรงมีอำนาจเหนือพวกเขา
ดังนั้นเจ้าจงตักเตือนด้วยอัลกุรอานนี้แก่ผู้กลัวต่อสัญญาร้ายของข้า*
Adh-Dhâriyât
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[51:1]
ขอสาบานต่อลมที่พัด
(ฝุ่นให้)
กระจัดกระจายอย่างปลิวว่อน
[51:2]
ขอสาบานต่อเมฆที่พยุง
(ฝน)
อย่างหนัก
[51:3]
ขอสาบานต่อนาวา
ที่แล่นไปอย่างสะดวกสบาย
[51:4]
ขอสาบานต่อมลาอิกะฮ์:ผู้จัดสรรการงาน
[51:5]
แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้นั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน
[51:6]
และแท้จริงการตอบแทนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
[51:7]
ขอสาบานต่อฟากฟ้าที่มีวิถีทางโคจรอย่างมากมาย
[51:8]
แท้จริงพวกเจ้าอยู่ในคำพูดที่ขัดแย้งกัน
[51:9]
ผู้ที่หันเหออกจากสัจธรรมนั้นเขาจะถูกให้หันเหออกจากการศรัทธา
[51:10]
ผู้ที่กล่าวเท็จแก่ท่านนบี
จะถูกสาปแช่ง
[51:11]
คือบรรดาผู้ที่พวกเขาอยู่ในการสับสนหลงลืม
(เรื่องของวันอาคิเราะฮ์)
[51:12]
พวกเขาจะถามว่า
วันแห่งการตอบแทนจะมีขึ้นเมื่อใด?
[51:13]
วันที่พวกเขาจะถูกทดสอบ
ด้วยไฟนรก
[51:14]
พวกเจ้าจงลิ้มรสการทดสอบของพวกเจ้าเถิด
นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเร่งเร้ามัน
[51:15]
แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงจะได้อยู่ในสวนสวรรค์มากหลาย
และตาน้ำพุ
[51:16]
พวกเขาปิติยินดีในสิ่งที่พระเจ้าของพวกเขาได้ประทานให้แก่พวกเขา
แท้จริงพวกเขาก่อนหน้านั้นเป็นผู้กระทำความดี
[51:17]
พวกเขาเคยหลับนอนแต่เพียงส่วนน้อยของเวลากลางคืน
[51:18]
และในยามรุ่งสางพวกเขาขออภัยโทษ
(ต่อพระองค์)
[51:19]
และในทรัพย์สมบัติของพวกเขาจัดไว้เป็นส่วนของผู้เอ่ยขอ
และผู้ไม่เอ่ยขอ
[51:20]
และในแผ่นดินนี้มีสัญญาณต่าง
ๆ สำหรับผู้ศรัทธาเชื่อมั่น
[51:21]
และในตัวของพวกเจ้าเอง
พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือ?
[51:22]
และในฟากฟ้ามีปัจจัยยังชีพของพวกเจ้า
และสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้
[51:23]
ดังนั้น
จึงขอสาบานต่อพระเจ้าแห่งชั้นฟ้า
และแผ่นดินนี้ว่า
แท้จริง
(สิ่งที่ถูกสัญญาไว้นั้น)
เป็นความจริงอย่างแน่นอน
เสมือนกับที่พวกเจ้าสนทนากัน
[51:24]
เรื่องราวของแขกผู้มีเกียรติของอิบรอฮีมได้มาถึงเจ้าบ้างไหม?
[51:25]
เมื่อพวกเขาได้เข้ามาหาเขา
(อิบรอฮีม) พวกเขากล่าวว่า
ศานติ
เขากล่าวว่า
(ตอบ)
ว่าศานติ
(พวกท่านเป็น)
หมู่ชนผู้แปลกหน้า
[51:26]
แล้วเขาก็รีบเข้าไปหาครอบครัวของเขา
แล้วได้นำลูกวัวอ้วน
(ซึ่งย่างเสร็จแล้ว)
ออกมา
[51:27]
และได้วางมันไว้ข้างหน้าพวกเขา
เขากล่าวว่า
พวกท่านไม่กินหรือ?
[51:28]
(เมื่อพวกเขาไม่กินอาหาร)
ดังนั้น
เขารู้สึกกลัวพวกเขา
พวกเขากล่าวว่า
อย่ากลัวเลยและได้แจ้งข่าวดีแก่เขาเกี่ยวกับลูกคนหนึ่งที่มีความรู้
[51:29]
แล้วภริยาของเขาก็ได้ออกมาตะโกนพลางตบหน้าของนาง
แล้วกล่าวว่า
หญิงแก่เป็นหมัน
[51:30]
พวกเขากล่าวว่า
เช่นนั้นแหละพระเจ้าของเธอได้ตรัสไว้เช่นนั้น
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้เสมอ