PART 3
[2:253]
และบรรดาศาสนทูตเหล่านั้น
เราได้ให้เกียรติแก่บางคนเหนือกว่าอีกบางคน
บางคนจากพวกนั้น
เป็นผู้ที่อัลเลาะฮ์
ได้ทรงตรัส
(เขาคือนบีมูซา)
และอัลเลาะฮ์
ได้ทรงยกย่องบางคนของพวกเขา
หลายฐานันดร
(คือนบีมุฮำมัด)
และเราได้ประทานแก่อีซาบุตรมัรยัม
ซึ่ง (บรรดา)
หลักฐาน
ที่ชัดแจ้ง และเราได้เสริมอำนาจแก่เขา
ด้วยวิญญานแห่งความบริสุทธิ์
และมาตร์ว่าอัลเลาะฮ์
ทรงประสงค์
แน่นอนบรรดา (ประชาชาติ)
ผู้อยู่ในยุคหลังพวกเขาก็ไม่ต้องรบพุ่งกัน
ภายหลังจากบรรดา
(หลักฐาน) ที่ชัดแจ้งได้มาสู่พวกเขาแล้ว
และแต่ทว่าพวกเข้าได้พิพาทกัน
ซึ่งมีบางคนของพวกเขา
เป็นผู้ศรัทธา
และบางคนของพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ
และมาต์รว่าอัลเลาะฮ์
ทรงประสงค์แล้วไซร้
แน่นอนพวกเขาก็จะรบพุ่งกัน
แต่ทว่าอัลเลาะฮ์
ทรงกระทำไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์
[2:254]
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
จงใช้จ่ายทรัพย์สินที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า
ก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งในวันนั้นจะไม่มีการซื้อขายและไม่มีมิตรภาพและไม่มีการไถ่แทน
และบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น
ความจริงแล้วคือผู้ที่ทำความผิด
[2:255]
อัลลอฮ์
(ทรงเป็นเจ้า)
ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ
(อีกแล้ว)
นอกจากพระองค์เท่านั้น
ทรงเป็นเสมอ
ทรงดำรงอยู่
ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์
พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน
ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์
(แก่ผู้อื่น)
ณ พระองค์ได้
นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น
พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา
และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์
นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
(จะให้พวกเขารู้)
เท่านั้น เก้าอี้
(คืออำนาจปกครอง)
ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย
และพระองค์ทรงสูงส่ง
อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่
[2:256]
ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
สิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจำแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว
ดังนั้น
ผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูต
และศรัทธาในอัลลอฮ์
เขาก็ได้รับการสนับสนุนอันมั่นคงไม่มีวันขาด
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[2:257]
อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
พระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากความมืด
(แห่งความโง่เขลา)
สู่ความสว่าง
(แห่งศรัทธา)
และบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย
ผู้คุ้มครองพวกเขา
คือมารร้าย
พวกมันนำเขาออกจากความสว่างสู่ความมืด
พวกเขาเป็นชาวนรก
ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นเป็นนิรันดรกาล
[2:258]
เจ้าไม่รู้หรือ
เกี่ยวกับ
(ประวัติของกษัตริย์นัมรูจ)
ผู้โต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องผู้อภิบาลของเขา
ซึ่งอัลลอฮ์ได้มอบอำนาจทางอนาจักร
(บาบิโลน) แก่เขา
เมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า
พระผู้ทรงอภิบาลของฉัน
ทรงประทานชีวิตและทรงประทานความตาย
(แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์)
เขา (นัมรูจ)
กล่าวว่า
ฉันเองก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้
อิบรอฮีมกล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์สามารถนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออกได้
พลัน (นัมรูจ)
ผู้เนรคุณก็งงงัน
(ตอบไม่ถูก)
และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล
[2:259]
หรืออุปมาเล่นผู้ที่ผ่านมาเมืองหนึ่ง
(คือบัยติลมักดิส
เยรูซาลิม
ซึ่งถูกทำลายโดย
บุคตะนัซซอร์
กษัตริย์แห่งบาบิโลน
เมื่อก่อนคริสต์กาลและผู้ที่เดินทางผ่านมาคือศาสดาองค์หนึ่งชื่ออะซีซบุตรของซัคคียาอ์)
และมันพังยุบลงมาทั้งหลังคาของมัน
เขากล่าวว่า
เมื่อใดหนออัลลอฮ์
จึงจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีก
หลังจากที่มันได้ตาย
(พังทลาย)
ไปแล้ว ครั้นแล้วอัลลอฮ์
ก็ทำให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี
หลังจากนั้น
พระองค์ก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก
(เมื่อฟื้นแล้ว)
พระองค์ก็ตรัสว่า
(ถามเขา) ว่า
เจ้าพักอยู่นานเท่าใด
เขาทูลตอบว่า
ข้าพเจ้าพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวัน
พระองค์ทรงตรัส
(แก่เขา) ว่า
ความจริงเจ้าพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปี
เจ้าจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสิ
มันยังไม่เน่าบูดเลย
และเจ้าจงมองไปที่ลาของเจ้า
(ที่ใช้ขี่มันมา)
ซิ
(ปรากฏว่าลาของเขา
ตายจนกระดูกป่นไปแล้ว)
และเพื่อเราจักบันดาลให้
(เรื่องราวเกี่ยวกับ)
เจ้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์
และเจ้าจงมองไปที่กองกระดูก
(ของลาตัวนั้น)
ซิ ว่าเราทำการประกอบมัน
(ให้เป็นโครงร่าง)
ได้อย่างไรแล้วต่อมาเราก็หุ้มมันด้วยเนื้อ
ครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว
เขาก็กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง
[2:260]
และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า
โอ้องค์อภิบาลโปรดเนรมิตให้ข้าพเจ้าได้เห็นเถิดว่า
พระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างไร
พระองค์ทรงดำรัสว่า
เจ้าไม่เชื่อหรือ? เขากล่าวว่า
มิใช่
แต่เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะได้สงบมั่นยิ่งขึ้น
พระองค์ทรงดำรัสว่า
ดังนั้นเจ้าจงนำนกมาสี่ตัวแล้วเจ้าจงนำมันมารวมกับพวกเจ้า
หลังจากนั้น เจ้าก็จงแยกส่วนของพวกมัน
(ออกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปไว้)
บนภูเขาทุกลูก
หลังจากนั้นเจ้าก็จงเรียกพวกมัน
แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเจ้าโดยพลัน
และเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชายิ่ง
[2:261]
การบริจาคของบรรดาผู้ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์
อาจเปรียบได้ดังเมล็ดพืชที่งอกออกมา
7 รวง
และแต่ละรวงมี
100 เมล็ด
ในทำนองเดียวกัน
อัลลอฮ์ทรงทบทวีทาน
ของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์
ผู้ทรงรอบรู้
[2:262]
บรรดาผู้บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์และไม่ได้ติดตามการบริจาคของพวกเขาด้วยการลำเลิกและเราะรานความรู้สึกของผู้ที่ได้รับนั้น
พวกเขาจะได้รับรางวัลจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา
พวกเขาจะไม่มีความกลัว
และความระทมแต่อย่างใด
[2:263]
คำพูดที่ไพเราะและการอดทนนั้น
ดีกว่าการทำทานที่ตามมาด้วยการเราะรานหรือดูถูก
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีอย่างเพียงพอ
ผู้ทรงขันติ
[2:264]
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย
พวกเจ้าจงอย่าทำลายการทำทานของพวกเจ้า
โดยการลำเลิก
และยังความเจ็บปวด
ประดุจผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์ของพวกเขาเพื่ออวดมนุษย์
และเขาไม่ศรัทธาในอัลลอฮ์
และวันสุดท้ายเลย
แท้จริง
อุปมา
(คนอย่าง) เขา
ก็อุปมัยดังก้อนหินเกลี้ยง
ซึ่งมีดินติดอยู่บนมัน
ต่อมามีฝนหนักได้กระหน่ำลงมาจนทิ้งมันไว้ในสภาพเกลี้ยงเกลา
(ดินที่ติดอยู่แต่เดิมถูกฝนชะไม่มีเหลือ)
พวกเขาไม่อาจ
(ได้กุศลจากการทำทานนั้น)
สักสิ่งเดียว
จากที่พวกเขาได้พากเพียรไว้
และอัลลอฮ์ไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ
[2:265]
และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขา
เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยของอัลลอฮ์
และเพื่อเพิ่มความหนักแน่นแก่ตัวของพวกเขาเอง
ก็เปรียบได้ดั่งสวนหนึ่งตั้งอยู่
ณ
พื้นที่ราบสูงซึ่งมีฝนหนักกระหน่ำลงมา
ต่อจากนั้นก็ให้ผลิตผลของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
แต่ถึงแม้นไม่มีฝนหนักกระหน่ำลงมาก็ตาม
ก็ยังมีฝนอยู่ประปรายอยู่นั่นเอง
และอัลลอฮ์ทรงมองเห็นการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล
[2:266]
คนหนึ่งคนใดจากพวกเจ้าทั้งหลายชอบไหมเล่า
ที่เขาจะมีสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นอินผาลัม
และต้นองุ่น
โดยมีธารน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องใต้ของมัน
เขาได้รับในสวนนั้นซึ่งผลไม้ต่างๆ
และเขาก็ลุเข้าวัยชรา
โดยเขายังมีลูกหลานที่อ่อนวัย
ครั้นต่อมา
ก็มีลมพายุโหมกระหน่ำสวนนั้น
โดยมีไฟในนั้นแล้วมันก็เกิดเพลิงไหม้
(หมดทั้งสวน)
เช่นนั้นแหละ
อัลลอฮ์ทรงชี้แจงกับบรรดาโองการต่างๆเพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ใคร่ครวญ
[2:267]
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย
จงบริจาคทรัพย์ที่ดีบางส่วน
ที่พวกเจ้าได้พากเพียรไว้
และจากสิ่งที่เรา
ได้ให้ผลิออกมาจากแผ่นดินพวกเจ้า
และพวกเจ้าอย่าได้มุ่งเอาสิ่งเลวจากนั้นมาบริจาคทั้งๆที่พวกเจ้าเองก็ไม่
(อยากจะ)
รับสิ่งนั้น
นอกจากพวกเจ้าจะสะเพร่าใน
(การรับ) มัน
และจงทราบไว้เถิดว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรวยยิ่ง
อีกทั้งทรงได้รับการสรรญเสริญ
[2:268]
มารร้ายได้เอาความลำบากยากจนมาข่มขู่สูเจ้า
และเสี้ยมสอนสูเจ้าให้ตระหนี่ถี่เหนียว
แต่อัลลอฮ์ทรงสัญญาแก่สูเจ้าซึ่งการอภัยจากพระองค์และความบริบูรณ์
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์
ผู้ทรงรอบรู้
[2:269]
อันมารร้ายนั้น
มันจะเอาความจนมาสัญญากับพวกเรา
(เพื่อยุยงให้พวกเจ้างดบริจาค)
และมันจะใช้พวกเจ้า
(ให้กระทำ)
แต่สิ่งที่น่าเกลียด
(เช่นความตระหนี่)
และอัลลอฮ์ทรงสัญญากับพวกเจ้า
(ว่าจะประทาน)
การอภัยจากพระองค์
และความโปรดปราน
และอัลลอฮ์ทรงไพศาล
อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
[2:270]
และค่าใช้จ่ายใดๆ
ที่พวกเจ้าได้จับจ่ายออกไป
หรือพวกเจ้าได้บนไว้ในกรณีหนึ่งๆ
ที่จริงอัลลอฮ์
ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น
(เป็นอันดี)
และสำหรับบรรดาผู้อธรรม
ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน
[2:271]
ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างเปิดเผย
มันก็เป็นการดี
แต่ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างลับ
ๆ แก่คนขัดสน
มันก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า
เพราะมันจะลบล้างบาปบางอย่างของสูเจ้า
อย่างไรก็ตาม
อัลลอฮ์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ
[2:272]
หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่
ในการชี้นำพวกเขา
และหากทว่าอัลลอฮ์
(ต่างหาก)
ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และความดีงาม
(ทรัพย์สิน)
ใดๆที่พวกเจ้าบริจาค
มันย่อมเป็นของพวกตัวเจ้าอย่างแน่นอน
และพวกเจ้าจะไม่บริจาค
นอกจาก
เพื่อแสวงหาความพึงพระทัยจากอัลลอฮ์เท่านั้น
และความดีใดที่พวกเจ้าบริจาคนั้น
มันจะถูกตอบแทนครบถ้วนแก่พวกเจ้า
และพวกเจ้าจะไม่ถูกฉ้อฉลอย่างแน่นอน
[2:273]
เป็นสิทธิสำหรับผู้ถูกจำกัดตัวเองในทางของอัลลอฮ์
พวกเขา
ไม่สามารถที่จะจารึกไปในแผ่นดิน
ผู้โง่เขลาคิดว่า
พวกเขาเป็นคนรวย
(ทั้งๆที่พวกเขายากไร้ยิ่ง
แต่) เนื่องด้วยความสังวรณ์ตน
(พวกเขาไม่ยอมขอใครกิน)
เจ้ารู้จักพวกเขาได้ด้วยเครื่องหมายแห่งพวกเขา
คือพวกเขาจะไม่พิรี้พิไรขอจากมนุษย์
และการดีอันใด
ที่พวกเจ้าบริจาคนั้น
อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน
[2:274]
บรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาอย่างลับ
ๆ
และเปิดเผยทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนนั้นจะได้รับรางวัลที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา
และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม
[2:275]
บรรดาผู้กินดอกเบี้ย
พวกเขาจะไม่ยืนขึ้น
(ฟื้นขึ้นจากสุสานในวันชาติหน้าได้อย่าท่าทางปกติ)
นอกจาก
(พวกเขาจะยืนขึ้นมาในท่าที)
ประดุจดังผู้ที่มารร้าย
สิงอยู่เนื่องจากความวิกลจริต
นั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า
อันที่จริงการค้าขาย
ก็เหมือนกับการดอกเบี้ยนั่นเอง
และอัลลอฮ์
ทรงอนุมัติการค้าขาย
แต่ทรงห้ามการดอกเบี้ย
ดังนั้น
ผู้ใดที่รับคำเตือนจากองค์อภิบาลของเขา
แล้วเขาก็ยุติ
(การรับดอกเบี้ย)
แน่นอนสิ่ง
(ดอกเบี้ย)
ที่ล่วงเลยไปนั่นก็เป็นของเขา
(ไม่ต้องย้อนหลัง)
และการงานของเขาก็มอบแด่อัลลอฮ์
(สุดแต่พระองค์จะจัดการ)
และผู้ใดย้อนกลับ
(ไปสู้ธุระกิจดอกเบี้ยอีก)
แน่นอนพวกเขาเป็นชาวนรก
พวกเขาต้องเข้าอยู่ในนั้นนิรันดร
[2:276]
อัลลอฮ์จะทรงบั่นทอนความจำเริญออกจากดอกเบี้ยและจะทรงเพิ่มพูนกุศลทาน
และอัลลอฮ์ไม่ทรงรักคนบาปหนาที่เนรคุณทุกคน
[2:277]
สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดี
และดำรงนมาซและจ่ายซะกาต
พวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขาที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา
และพวกเขาจะไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม
[2:278]
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
จงเกรงกลัวอัลลอฮ์
และจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจจะได้รับ
ถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง
[2:279]
ดังนั้น
หากพวกเจ้าไม่ทำ
(ตามคำสั่งนี้)
แน่นอนพวกเจ้า
ก็จงมั่นใจเถิดว่า
จะมีสงคราม
(การลงโทษ)
จากอัลลอฮ์
และศาสนทูตของพระองค์
(ต่อพวกเจ้า)
และหากเจ้าทั้งหลายกลับใจ
(ไม่กินดอกเบี้ย)
แน่นอนพวกเจ้า
ก็ได้แต่ต้นทุนแห่งทรัพย์สินของพวกเจ้า
(ที่ให้กู้ไป)
พวกเจ้าไม่ฉ้อฉล
และไม่ถูกฉ้อฉล
[2:280]
ถ้าหากลูกหนี้ของสูเจ้าอยู่ในภาวะคับแค้น
ก็จงผ่อนปรนให้แก่เขาจนกว่าสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้น
แต่ถ้าหากสูเจ้ายกหนี้ให้เป็นทาน
มันก็เป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า
ถ้าหากสูเจ้ารู้
[2:281]
จงระวังตนเอง
ให้พ้นจากความทุกข์ยาก
แห่งวันที่สูเจ้าจะกลับไปหาอัลลอฮ์
ณ ที่นั้น
ทุกชีวิต
จะได้รับการตอบแทนเต็มตามที่แต่ละคนได้ขวนขวายไว้
และเขาจะไม่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรม
[2:282]
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย
เมื่อพวกเจ้าทำสัญญากู้หนี้ยืมสินกันในหนี้สินหนึ่ง
โดยมีกำหนดที่แน่ชัด
พวกเจ้าก็จงทำบันทึกมันไว้ด้วย
และจะต้องมีผู้บันทึกทำการบันทึกในระหว่างพวกเจ้า
โดยความเที่ยงธรรม
และผู้บันทึกจงอย่าปฏิเสธที่จะทำการบันทึก
ดังที่อัลลอฮ์ได้สอนเขาไว้
ดังนั้น
เขาจงบันทึกโดยให้ลูกหนี้เป็นผู้บอกให้
และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลเขา
และจงอย่าบกพร่องจากนั้นสักเพียงเล็กน้อยก็ตาม
(ในการบันทึกเต็มตามจำนวน
ที่ตกลงกู้ยืมกัน)
แต่หากปรากฏว่า
ผู้เป็นลูกหนี้เป็นคนโฉดเขลา
(มีนิสัยฟุ้มเฟ้อประพฤติตนไม่เหมาะสม)
หรือเป็นคนอ่อนแอ
หรือไม่สามารถที่จะบอก
(จำนวนหนี้สินได้)
ก็จงให้ผู้ปกครองเขาบอกแทนด้วยความเที่ยงธรรม
และพวกเจ้าจงจัดตั้งพยานขึ้นสองคน
(โดยเลือก)
จากบุคคลที่พวกเจ้าพอใจ
จากบรรดาผู้
(มีคุณสมบัติพร้อมที่จะ)
เป็นพยานเพื่อวาหากนางหนึ่งจากทั้งสองหลงลืม
(ข้อสัญญา)
คนหนึ่งจะได้ช่วยเตือนความจำให้แก่อีกคนหนึ่งได้
และบรรดา
(ผู้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น)
พยาน จงอย่าปฏิเสธ
(ในการเป็นพยาน)
เมื่อถูกขอร้องและเจ้าทั้งหลายจงอย่าระอาที่จะทำการบันทึกมันไม่ว่า
(หนี้สินนั้น)
จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย
หรือจำนวนมาก็ตาม
จนถึงกำหนดของมัน
(การกู้หนี้ที่ทำสัญญาเอกสาร
ตามที่กล่าวมา)
นั้น ย่อมเป็นที่ยุตติธรรมยิ่ง
ณ
อัลลอฮ์ย่อมเป็นที่มั่นคงยิ่ง
สำหรับการเป็นพยาน
และเป็นที่ใกล้เคียงยิ่งต่อการที่พวกเจ้าจะได้ไม่สงสัยซึ่งกันและกัน
(ในจำนวนหนี้สิน)
ยกเว้น
ในกรณีที่เป็นการค้าในปัจจุบัน
ซึ่งพวกเจ้าหมุนเวียนระหว่างพวกเจ้าเอง
ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใดๆ
แก่พวกเจ้า
ที่จะไม่บันทึกมัน
และเจ้าทั้งหลายจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิด
เมื่อพวกเจ้าทำสัญญา
(ซื้อขายกัน)
และทั้งผู้บันทึกและพยานนั้น
จงอย่า
(ใช้เล่ห์กลแห่งสัญญา)
ทำความเดือนร้อน
(แก่ฝ่ายเจ้าหนี้หรือฝ่ายลูกหนี้)
และหากพวกเจ้าไม่กระทำ
(ตามที่ได้บัญญัติไว้นี้)
แน่นอนที่สุด
สิ่งนั้นก็จะเป็นความชั่วร้ายแก่พวกเจ้า
และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
และอัลลอฮ์ทรงสอนพวกเจ้า
และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกๆสิ่ง
[2:283]
และหากพวกเจ้าทั้งหลายอยู่ในระหว่างเดินทาง
และพวกเจ้าไม่พบผู้บันทึกคนใดก็ให้
(กู้หนี้แบบ)
มีสิ่งล้ำค่าประกันที่ถูกยึดกุมไว้
(โดยเจ้าหนี้)
ดังนั้น
หากต่างฝ่ายต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน
(ทำการกู้ยืนโดยไม่มีสิ่งค้ำประกันและไม่มีสัญญาเอกสาร)
อัน
ลูกหนี้ผู้ได้รับความไว้วางใจก็ต้องชำระคืนแต่สิ่งที่ถูกไว้ใจ
(คืนหนี้สินนั้น)
เสีย
(เมื่อครบกำหนด)
และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์
ผู้ทรงอภิบาลเขา
และพวกเจ้าอย่าปิดบังการเป็นพยาน
และบุคคลใดปิดบังมัน
แน่นอนหัวใจเขาย่อมเป็นบาป
และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล
[2:284]
เป็นสิทธิแห่งอัลลอฮ์
สรรพสิ่งในชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน
และหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้า
หรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม
อัลลอฮ์ก็จักทรงนำมันมาสอบสวนอย่างแน่นอน
และพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง
[2:285]
ศาสนทูต
และมวลผู้ศรัทธา
ย่อมศรัทธาในสิ่ง
(คัมภีร์)
ที่ถูกประทานมายังเขาจากองค์อภิบาลของเขาทุกคนต่างมีศรัทธามั่นในอัลลอฮ์
ในมาลาอีกะห์ของพระองค์
ในบรรดาคำภีร์ของพระองค์
และบรรดาศาสนทูตของพระองค์
และพวกเขากล่าวว่า
เราได้ยิน
และเราภักดี
ขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิด
โอ้องค์อภิบาลของเรา
และเป้าหมาย
(ของเรา)
ย่อมคืนสู่พระองค์
[2:286]
อัลลอฮ์ไม่ทรงวางภาระให้แก่มนุษย์ด้วยความรับผิดชอบที่หนักเกินกว่าที่เขาจะแบกรับได้
ทุกคนจะได้รับผลแห่งความดีที่เขาได้ขวนขวายไว้
และจะได้รับผลตอบแทนแห่งความชั่วที่เขาได้กระทำไว้
Al ‘Imrân
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[3:1]
อะลิฟ
ลาม มีม
[3:2]
อัลลอฮ์นั้นคือ
ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงมีชีวิตอยู่เสมอ
(ไม่มีกาลอวสาน)
ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลายเป็นเนืองนิจ
(ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและทรงบังเกิด)
[3:3]
พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้น
(อัลกุรอาน)
ลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราว
พร้อมด้วยความจริง
เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้า
(คัมภีร์อัตเตารอต
และอัล-อินญีลที่ถูกประทานลงมาก่อนอัลกุรอาน)
คัมภีร์นั้น
และได้ทรงประทานอัตเตารอต
และอัล-อินญีล
[3:4]
(ให้มี)
มาก่อน ในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์
และได้ประทานอัลฟุรกอนมาด้วย
แท้จริงผู้ได้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์นั้น
พวกเขาจาได้รับโทษอันรุนแรง
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงทำการลงโทษ
[3:5]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้น
ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินจะซ้อนเร้นพระองค์ไปได้
และทั้งไม่มีในฟากฟ้าด้วย
[3:6]
พระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกเจ้ามีรูปร่างขึ้นในมดลูก
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่สิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[3:7]
พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า
โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน
(เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือนๆกันโดยไม่ต้องตีความ)
ซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์
(เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศัทธาและในข้อปฏิบัติของมนุษย์และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย)
และมีโองการอื่นๆอีกที่มีข้อความเป็นนัย
(มีข้อความเป็นเชิงเปรียบเทียบ
อาจเข้าใจได้หลายทาง
ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้)
ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีความเอนเอียงออกจากความจริงนั้น
เขาาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์
ทั้งนี้
เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย
(เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ศรัทธาด้วยการตีความโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน)
และเพื่อการแสวงหาการตีความในโองการเท่านั้น
(คือเพื่อแสวงหาการตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ
โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮที่ข้อความชัดเจนหรือไม่)
และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์
และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น
(มีพื้นฐานความรู้อย่างมั่นคง
เกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆของพระองค์
(ศิฟาต)
และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวางด้วย)
โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า
พวกเราศัทธาต่อโองการนั่น
ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น
และไม่มีใครที่จะได้รับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น
[3:8]
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
!โปรดอย่าให้หัวใจของพวกเราเอนเอียงออกจากความจริงเลยหลังจากที่พระองค์ได้ทรงแนะนำแก่พวกเราแล้วและโปรดได้ประทานความเอ็นดูเมตตา
จากที่ที่พระองค์ให้แก่พวกเราด้วยเถิดแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย
[3:9]
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ชุมนุมมนุษย์ทั้งหลายในวันหนึ่งซี่งไม่มีการสงสัยใดๆ
ในวันนั้น
(หมายถึงวันกิยามะฮ์)
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงผิดสัญญา
[3:10]
แท้จริงผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธานั้น
ทรัพย์สมบัติของพวกเขาและลูกๆของพวกเขานั้น
จะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลย
และชนเหล่านี้แหละคือเชื้อเพลิงแห่งไฟนรก
[3:11]
เช่นเดียวกับสภาพความเคยชินของวงศ์วานอิสรออีล
และบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา
เพราะบาปกรรมของพวกเขาเอง
เละอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษอันรุนแรง
[3:12]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า
พวกท่านจะได้รับความปราชัย
(แล้วพระองค์ก็ทรงให้คำประกาศของนบีมุฮัมมัด
เป็นความจริงโดยให้ฝ่ายมุสลีมีนทำการฆ่า
บะนีกุร็อยเซาะฮ
ตระกูลหนึ่งของยิว
เนื่องจากทุจริตในคำมั่นสัญญา
และทำการบังคับให้
บะนีอันนะฎีร
อีกตระกูลหนึ่งของยิว
อพยพไปจากมะดีนะฮ)
และ
(ในวันปรโลก)
พวกท่านจะถูกต้อนไปสู่ญะฮันนัม
และเป็นที่นอนอันเลวร้ายยิ่ง
[3:13]
แน่นอนได้มีสัญญาณหนึ่งปรากฎแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งอยู่ในสองฝ่ายที่เผญิชหน้ากันฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์
(คือฝ่ายมุสลิมีน)
และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
(คือฝ่ายมุชริกีนมักกะฮ์)
ซึ่งเห็นเขาเหล่านั้น
(คือเห็นฝ่ายมุสลิมีน,กล่าวคือฝ่ายมุชริกีนเห็นไปว่าฝ่ายมุสลิมีนมีมากกว่าพวกเขาถึง 2 เท่า
ทั้งๆที่ฝ่ายมุสลิมีนมีน้อยกว่าพวกเขาเกือบสองเท่า
คือมี 313
คน
ส่วนฝ่ายมุชริกีนมี
950 คน
อันเป็นเหตุให้พวกเขาเสียขวัญ
และแพ้ฝ่ายมุสลิมีน
ในการสู้รบกันครั้งนี้ฝ่ายมุชรีกีนถูกฆ่าตาย
70 คน
และถูกจับเป็นเชลย
70 คน
ฝ่ายมุสลิมีนเสียชีวิต
14 คน)
ด้วยตาตนเองเป็นสองเท่าของพวกเขา
แ ละอัลลอฮ์นั้นจะทรงสนับสนุนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์
แท้จริงในสิ่งที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้มีดวงตา
ทั้งหลาย
[3:14]
ได้ถูกทำให้สวยงาม
(ลุ่มหลง)
แก่มนุษย์ซึ่งความรักในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์อันได้แก่ผู้หญงและลูกชาย,ทองและเงินอันมากมาย
และม้าดีและปศุสัตว์
และไร่นา
นั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น
และอัลลอฮ์นั้นณ
พระองค์
คือที่กลับอันสวยงาม
[3:15]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าจะให้ฉันบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นไหม? คือผู้ที่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น
ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา-พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์
ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื่องล่าง
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและจะได้รับบรรดาคู่ครองที่บริสุทธิ์
และความพึงใจจากอัลลอฮ์ด้วย
และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นบรรดาบ่าวทั้งหลาย
[3:16]
คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์แท้จริงของพวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว
โปรดทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และโปรดได้ทรงป้องกันพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากไฟนรกด้วย
[3:17]
บรรดาผู้ที่อดทน
และบรรดาผู้ที่พูดจริง
และบรรดาผู้ที่ภักดี
และบรรดาผู้ที่บริจาคและบรรดาผู้ที่ขออภัยโทษในยามใกล้รุ่ง
(คือก่อนฟะญัร์ขึ้น
หมายถึงผู้ที่สละความสุขในยามนั้น
โดยลุกขึ้นละหมาด
ตะฮัจญุด
และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์)
[3:18]
อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า
แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น
และมลาอิกะฮ์
และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น
ก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
นอกจากพระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น
[3:19]
แท้จริงศาสนา
ณ อัลลอฮ์
นั้นคือ
อัลอิสลาม
(หมายถึงศาสนาแห่งการเชื่อฟัง
และปฏิบัติโดยปราศจากการขัดแย้ง)
และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
(หมายถึงยิวและคริสต์)
มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้มีความรู้
(หมายถึงความรู้จากอัลกุรอาน
ที่ท่านนบีนำมา)
มายังพวกเขาเท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้
แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ
[3:20]
แล้วหากพวกเขาโต้แย้งว่า
ก็จงกล่าวเถิดว่าฉันได้มอบใบหน้า
(ร่างกาย)
ของฉันแด่อัลลอฮ์แล้ว
และผู้ที่ปฏิบัติตามฮฉัน
(ก็มอบ) ด้วยและจงกล่าวเก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
และบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็น
(คือพวกมุชรีกินมักกะฮ์)
ว่า
พวกท่านมอบ (ใบหน้าแด่อัลลอฮ์)
แล้วหรือ? ถ้าหากพวกเขาได้มอบแล้วแน่นอนพวกเขาก็ได้รับแล้วซึ่งแนวทางอันถูกต้องและถ้าหากพวกเขาผินหลังให้
แท้จริงหน้าที่ของเจ้านั้นเพียงการประกาศให้ทราบเท่านั้น
(คือไม่มีหน้าที่บังคับให้ศรัทธา)
และอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงเห็นป่วงบ่าวทั้งหลาย
[3:21]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
(หมายถึงชาวยิว)
ต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์
และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม
และฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม
จากหมู่ประชาชนนั้น
(คือฆ่าประชาชนที่เรียกร้องให้มีความยุติธรรม
จากหมู่ประชาชนนั้น
(การแจ้งข่าวการลงโทษด้วยคำว่าข่าวดี
นั้นเป็นการปรามที่รุนแรงยิ่งแก่
ผู้ที่ดื้อดัน)
แก่พวกเขาเถิด
ด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ
[3:22]
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้
และปรโลกและจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาเลย
[3:23]
เจ้า
(มุฮำมัด)
มิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์
(คือพวกยิวนั้นจดจำเพียงส่วนหนึ่งของคัมภีร์เตารอตเท่านั้น
เพราะส่วนอื่นๆของคัมภีร์ได้สูญหายไปบ้าง
และถูกบิดเบือนบ้าง)
ดอกหรือ?โดยที่พวกเขาถูกเชิญชวนไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์
(หมายถึงคัมภีร์เตารอต)
เพื่อคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขา
(พวกผิดประเวณี)
แล้วกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็ผินหลังให้และพวกเขาก็กำลังผินหลังให้อยู่
[3:24]
นั่นก็เพราะพวกเขากล่าวว่า
ไฟนรกนั้นจะไม่แตะต้องพวกเราเลย
นอกจากบรรดาวันที่ถูกนับไว้
(คือเพียง 40
วันเท่านั้น
อันเป็นระยะเวลาที่พวกเขาสักการะลูกวัว
ทั้งนี้เป็นความเข้าใจผิดของพวกเขา)
และสิ่งที่พวกเขากุขึ้นในศาสนาของพวกเขานั้น
(คือกุขึ้นว่าพวกเขาเป็นพระบุตรของพระอัลลอฮ์
และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์)
ได้หลอกลวงพวกเขาให้หลงเชื่อ
[3:25]
แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
เมื่อเราได้ชุมนุมพวกเขาไว้สำหรับวันหนึ่ง
(คือเป็นวันกิยามะฮ์อันเป็นวันฟื้นคืนชีพ)
ซึ่งในวันนั้นไม่มีการสงสัยใดๆ
และแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งมีชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้
โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[3:26]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าข้าแต่อัลลอฮ์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง!
พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์
ของพระองค์
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:27]
พระองค์ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน
และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืนและทรงให้สิ่งมีชีวิต
ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต
และทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ
[3:28]
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น
จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุอ์มิน
และผู้ใดกระทำเช่นนั้น
เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์
(กล่าวคือถ้ามุอ์มินคนใดเอาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรรู้เห็นความลับต่างๆของมุสลีมีนแล้ว
เขาไม่ได้ตั้งอยู่ในศาสนาของอัลลอฮ์
แต่อย่างใด)
นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน
(ให้พ้นอันตราย)
จากพวกเขาจริงๆเท่านั้น
และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป
(ของพวกเจ้า)
[3:29]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
หากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในอกของพวกท่าน
หรือเปิดเผยมันก็ตาม
อัลลอฮ์ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งนั้นดีและทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และทุกสิ่งอยู่ในแผ่นดิน
และอัลัลอฮนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:30]
วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า
และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย
แต่ละชีวิตนั้นชอบ
หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล
และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย
[3:31]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์
ก็จงปฏิบัติตามฉัน
อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน
และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[3:32]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าพวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลเถิด
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[3:33]
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงคัดเลือก
อาดัมและนูห์
และวงศ์วานของอิบรอฮีม
และวงศ์วานของอิมรอนให้เหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
[3:34]
เป็นเผ่าพันธ์
ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกันและกัน
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[3:35]
จงรำลึกถึงขณะที่ภรรยาของอิมรอน
(นางฮันนะฮ)
กล่าวว่า
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์!
แท้จริงข้าพระองค์ได้บนไว้ว่าให้สิ่ง
(บุตร)
ที่อยู่ในครรภ์ของข้าพระองค์ถูกเจาะจงอยู่ในฐานะผู้เคารพอิบาดะฮต่อพระองค์และรับใช้พระองค์เท่านั้น
ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับจากข้าพระองค์ด้วยเถิด
แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[3:36]
ครั้นเมื่อนางได้คลอดบุตร
นางก็กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์!
แท้จริงข้าพระองค์ได้คลอดบุตรเป็นหญิง
และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งกว่าถึงบุตรที่นางได้คลอดมา
และใช่ว่าเพศชายนั้นจะเหมือนกับเพศหญิงก็หาไม่
และข้าพระองค์ได้ตั้งชื่อเขาว่า
มัรยั ม แล้วข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ทรงคุ้มครองนางให้ทรงคุ้มครองนาง
และลูกของนางให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกขับไล่
[3:37]
แล้วพระเจ้าของนางก็ทรงรับมัรยัมไว้อย่างดี
และทรงให้นางเจริญวัยอย่างดีด้วยและได้ทรงให้ซะกะรียาอุปการะนาง
คราใดที่ซะกะรียาเข้าไปหาที่อัลมิหรอบ
เขาก็พบปัจจัยยังชีพ
อยู่ที่นาง
เขากล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย!
เธอได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร? นางกล่าวว่า
มันมาจากที่อัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคิดคำนวณ
[3:38]
ที่โน่นแหละ
ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
โปรดได้ทรงประทานแก่ข้าพระองค์
ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน
[3:39]
และมลาอิกะฮ์ได้เรียกเขา
ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ในอัลมิหรอบว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่ท่าน
ด้วยยะหยา (คือแจ้งข่าวดีว่าท่านจะได้บุตร
ชื่อ ยะหยา)
โดยที่จะเป็นผู้ยืนยันพจมานหนึ่งจากอัลลอฮ์
และจะเป็นผู้นำ
และผู้รักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์
และเป็นนบีคนหนึ่งจากหมู่ชนที่เป็นคนดี
[3:40]
เขา
(นบีซะกะรียา)
กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร
โดยที่ความชราภาพได้มาถึงข้าพระองค์แล้ว
และภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วย
พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตามอัลลอฮ์จะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์
[3:41]
เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์!
โปรดได้ทรงให้มีสัญญาณหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้านั้นคือเจ้าจะไม่สามารถพูดแก่ผู้คนเป็นเวลาสามวัน
(หมายถึงสามคืนด้วย)
นอกจากด้วยการแสดวงท่าทางเท่านั้น
และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามากๆ
และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า
[3:42]
และจงรำลึก
ขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย่!
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกเธอและทรงทำให้เธอบริสุทธิ์
และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย
[3:43]
มัรยัมเอ๋ย!
จงภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าเถิด
และจงสุญูดและรุกูอ
ร่วมกับบรรดาผู้รุกูอทั้งหลาย
[3:44]
นั้นคือส่วนหนึ่งจากบรรดาข่าวของสิ่งเล้นลับ
ซึ่งเราชี้แจงให้เจ้า
(คือท่านนบีมุฮัมมัด)
ทราบ
และเจ้ามิได้อยู่
ณ ที่พวกเขา
(หมายถึงพวกพระในโบสถ์)
ขณะที่พวกเขาโยนเครื่องเสี่ยงทายของพวกเขา
(เพื่อทราบว่า)
ใครในหมู่พวกเขาจะได้รับอุปการะมัรยัม
และเจ้ามิได้อยู่
ณ
ที่พวกเขาโต้เถียงกัน
[3:45]
จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย !
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่ง
จากพระองค์
ชื่อของเขาคือ
อัลมะซีห์
อีซาบุตรของมัรยัม
โดยที่เขาจะเป็นผู้มีเกียรติในโลกนี้
และปรโลก
และจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด
[3:46]
และเขา
(หมายถึงนบีอีซา)
จะพูดแก่ผู้คนขณะอยู่ในเปล
และในวัยกลางคน
และจะอยู่ในหมู่คนดี
[3:47]
นางกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร
ทั้งที่มิได้มีบุรุษใดแตะต้องข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตาม
อัลลอฮ์จะทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
เมื่อพระองค์ทรงชี้ขาดงานใดแล้ว
พระองค์ก็เพียงประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า
จงเป็นขึ้นเถิดแล้วมันจะเป็นขึ้น
[3:48]
และพระองค์ก็จะทรงสอนเขา
ซึ่งการเขียน
และความรู้อันถูกต้อง
และสอนอัตเตารอตและอันอินญีล
[3:49]
และเป็นฑูต
(นบีอีซา)
ไปยังวงศ์วานอีสรออีล
(โดยที่เขาจะกล่าวว่า)
แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่านดั่งรูปนก
แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน
แล้วมันก็จะกลายเป็นนกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์
และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด
และคนเป็นโรคเรื้อน
และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น
ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์
และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านไว้ในบ้านของพวกท่าน
แท้จริงในนั้นมีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน
หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
[3:50]
และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน
อันได้แก่
อัตเตารอต
และเพี่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่าน
ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่าน
และฉันได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของท่านมายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นจึงยำเกรงอันลอฮเถิด
และจงเชื่อฟังฉัน
[3:51]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ
พระเจ้าของฉัน
และพระเจ้าของพวกท่านดังนั้น
จงอิบาดะฮต่อพระองค์เถิด
นี้แหละคือทางอันเที่ยงตรง
[3:52]
ครั้งเมื่ออีซารู้กว่ามีการปฏิเสธศรัทธาเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา
(คือหมู่พวกยิว)
จึงได้กล่าวว่า
ใครบ้างจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันไปสู่อัลลอฮ์
บรรดาสาวกผู้บริสุทธิ์ใจกล่าวว่า
พวกเราคือผู้ช่วยเหลืออัลลอฮ์
พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์
แล้ว
และท่านจงเป็นพยานด้วยว่า
แท้จริงพวกเรานั้น
คือผู้น้อมตาม
[3:53]
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
พวกข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา
และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม
ร่อซู้ลแล้ว
โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาพวกที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลายด้วยเถิด
[3:54]
และพวกเขาได้วางแผน
(คือ
พวกยิวที่ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนบีอีซา
ได้วางแผนที่จะกำจัดท่าน)
และอัลลอฮ์ ก็ทรงวางแผนด้วย
(คือวางแผนที่จะปกป้องท่านนบี
อีซาให้พ้นจากการทำร้ายของพวกเขา)
และอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงวางแผนที่ดีเยี่ยม
[3:55]
จงลำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์
ตรัสว่าโอ้อีซา!
ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า
และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าบริสุทธิ์
พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์
แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า
ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
[3:56]
ส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และปรโลก
และจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด
สำหรับพวกเขา
[3:57]
และส่วนบรรดาผู้ศรัทธา
และประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้น
พระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเขาโดยครบถ้วน
ซึ่งรางวัลของพวกเขาและอัลลอฮ์
นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้อธรรม
[3:58]
ดังกล่าวนั้นแหละ
เราอ่านมันให้เจ้าฟัง
อันได้แก่โองการต่างๆ
และคำเตือนรำลึกที่รัดกุมชัดเจน
[3:59]
แท้จริงอุปมาของอีซานั้น
ดั่งอุปมัยของอาดัม
พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน
และได้ทรงประปาศิตแก่เขาว่าจงเป็นขึ้นเถิด
แล้วเขาก็เป็นขึ้น
[3:60]
ความจริง
นั้นมาจากพระเจ้าของเจ้า
(มุฮัมมัด)
ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
[3:61]
ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้ามนเรื่องของเขา
(อีซา)
หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว
ก็จงกล่าวเถิดว่า
ท่านทั้งหลายจงมาเถิด
เราก็จะเรียกลูกๆของเรา
และลูกของพวกท่าน
และเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา
และบรรดาผู้หญิงของพวกท่าน
และตัวของพวกเรา
และตัวของพวกท่านแล้วเราก็จะวิงวอนกัน
(ต่ออัลลอฮ์)
ด้วยความนอบน้อม
โดยที่เราจะขอให้อนัต
(คือการขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะฮมัตของบอัลลอฮ์)
ของอัลลอฮ์พึงประสบแก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก
[3:62]
แท้จริงเรื่องนี้
(คือเรื่องที่นบี
อีซาเกิดมาโดยไม่มีพ่อ)
เป็นเรื่องจริง
และไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ
นอกจากอัลลอฮ์
เท่านั้น
แลแท้จริงอัลลอฮ์
คือผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[3:63]
แล้วหากพวกเขาผินหลังให้
แน่นอนอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงรู้ดี
ต่อผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย
[3:64]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์!
จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน
(คือไม่ขัดแย้งกัน
เนื่องจากทั้งคัมภีร์เตารอตและอินญีลได้บัญญัติไว้อย่างเดียวกัน)
ระหว่างเราและพวกท่าน
คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น
และเรจะไม่ให้สิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์
แล้วหากพวกเขาผินหลังให้
ก็จงกล่าวเถิดว่า
พวกท่านจงเป็นพยานด้วยด้วยว่า
แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม
[3:65]
โอ้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
! เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในตัวของอิบรอฮีม
และอัตเตารอต
และอัลอินญีลนั้นมิได้ถูกประทานลงมา
นอกจากหลังจากเขา
แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ
[3:66]
พวกเจ้านี้แหละ
(คือพวกยิวและพวกคริสต์)
ได้โต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในสิ่งนั้นแล้ว
แล้วก็เหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้
(คือไม่มีความรู้เกี่ยวกับท่านนบีอิบรอฮีม
เพราะท่านมาก่อนพวกเขาเป็นเวลาช้านาน
และมิได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ของพวกเขาด้วยว่าท่านเป็นยิวหรือเป็นคริสต์
แล้วพวกเขาไปทึกทักเอามาจากไหนที่ต่างฝ่ายอ้างว่าท่านตั้งอยู่ในศาสนาของตน)
และอัลลอฮ์
นั้นทรง
รู้แต่พวกเจ้าไม่รู้
[3:67]
อิบรอฮีมไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์
แต่ทว่าเขาเป็นผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริง
เป็นผู้น้อมตาม
(คือน้อมตามบัญญัตของอัลลอฮ์โดยปราศจากเงื่อนไข)
และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
(แก่อัลลอฮ์)
[3:68]
แท้จริงผู้คนที่สมควรยิ่งต่ออิบรอฮีมนั้น
ย่อมได้แก่บรรดาผู้ปฏิบัติตามเขา
และปฏิบัติตามนบีนี้
(คือปฏิบัติตามตามท่านนบีมุฮัมมัดด้วย
เพราะท่านตั้งอยู่บนแนวทางของนบีอิบรอฮีม)
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย
(คือศรัทธาต่อทานนบีมุฮัมมัด)
และอัลลอฮ์นั้นทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[3:69]
กลุ่มหนึ่งจากพวกที่ได้รับคัมภีร์นั้นชอบ
หากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิด
และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด
นอกจากตังของพวกเขาเองแต่พวกเขาไม่รู้
[3:70]
โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์ทั้งที่พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันอยู่
(คือยืนยันว่าลักษณะที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ของพวกเขานั้นตรงกับลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัด)
[3:71]
โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จ
และปกปิดความจริงไว้
(คือปกปิดลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัดไว้)
ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่
[3:72]
และกลุ่มหนึ่งจากหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งทีถูกให้ลงมาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา
(คือศรัทธาต่ออัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่ผู้ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดในเวลาเช้า
และก็ปฏิเสธการศรัทธานั้นเสียในเวลาเย็น)
ในตอนเริ่มแรกของกลางวัน
(เช้า) และจงปฏิเสธศรัทธาในตอนสุดท้ายของมัน
(เย็น)
เพื่อว่าพวกเขาจาได้กลับใจ
[3:73]
และพวกท่านจงอย่าเชื่อ
(คือพวกยิวที่ได้กล่าวห้ามพวกเขา)
นอกจากแก่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาของพวกท่านเท่านั้น-จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
คำแนะนำนั้นคือคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น
(คือจงอย่าเชื่อว่า)
จะมีผู้ใดได้รับ
(คือไม่มีผู้ใดในชีวิตอื่น
จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรอซูล
เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของพวกท่านได้รับ)
เยี่ยงที่พวกท่านได้รับ
หรือ
(อย่าเชื่อว่า)
เขาเห่ลานั้น
(หมายถึงบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด
ซ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะซัลลัม)
จะโต้แย้งพวกท่าน
ณ
พระเจ้าของพวกท่านเลย
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงความโปรดปรานนั้นอยู่
ณ
พระหัตถ์ของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์ก็จะทรงประทานมันให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงไพศาล
ผู้ทรงรอบรู้
[3:74]
พระองค์จะทรงเจาะจงความเอ็นดูเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่
[3:75]
และจากหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น
มีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมายเขาก็จะคืนมันแก่เจ้า
และจากหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้สักเหรียญทองหนึ่ง
เขาก็จะไม่คืนมันแก่เจ้า
นอกจากเจ้าจะยืนเฝ้าทวงเขาอยู่เท่านั้น
นั่นก็เพราะว่าพวกเขากล่าวว่า
ในหมู่ผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็นนั้น
ไม่มีทางใดที่เป็นโทษแก่เราได้
(กล่าวคือพวกเขาถือว่าการโกงบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็นในหมู่ชนชาติอาหรับนั้นไม่มีบาปหรือโทษใดๆโดยอ้างว่า
เพราะเขาเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเกลียดชัง
ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ซุบฮานะฮู
วะตะอาลา
อีกกระทงหนึ่ง)
และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ทั้งๆที่พวกเขารู้กันดีอยู่
[3:76]
มิใช่เช่นนั้นดอก
(คือมิใช่อย่างที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้นดอก
เพราะการโกงผู้อื่นนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถือว่าเป็นความผิด
และจะได้รับโทษ)
ผู้ใดที่รักสัญญาของเขาโดยครบถ้วน
และยำเกรง
(อัลลอฮ์)
แล้วแน่นอนอัลลอฮ์ทรงชอบผู้ที่ยำเกรงนั้น
[3:77]
แท้จริงผู้ที่นำสัญญาของอัลลอฮ์
และการสาบานของพวกเขาไปขายด้วยราคาอันเล็กน้อยนั้น
ชนเหล่านี้แหละไม่มี่ส่วนได้ใดๆแก่พวกเขาในปรโลก
และอัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา
และจะไม่ทรงมองดูพวกเขาในวันกิยามะฮ์
และทั้งจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดด้วย
(คือสะอาดจากความผิดที่ไม่นำพาต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่อัลลอฮ์
นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอภัยโทษอย่างเด็ดขาด)
และพวกเขาจะได้รับโทษอันเจ็บแสบ
[3:78]
และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น
มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา
ในการอ่านคัมภีร์
เพื่อพวกเจ้าจะได้คิดว่ามันมาจากคัมภีร์
ทั้งที่มันมิได้มาจากคัมภีร์
และพวกเขากล่าวว่า
มันมาจากที่อัลลอฮ์
ทั้งที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮ์
และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ทั้งที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่
[3:79]
ไม่เคยปรากฎแก่บุคคลใดที่อัลลอฮ์ทรงประทานคัมภีร์และข้อตัดสิน
และการเป็นนบีแก่เขา
(หมายถึงท่าน
นบีอีซา)
แล้วเขากล่าวแก่ผู้คนว่า
ท่านทั้งหลายจงเป็นบ่าวของฉัน
(กล่าวคือพวกยิวอ้างว่าท่านนบีอีซาเป็นพระเจ้าโดยแบ่งภาคมาเกิดเป็นพระบุตร
ในการนี้พวกเขาจึงเป็นบ่าวของท่าน
ทั้งๆที่ท่านมิได้ประกาศตนว่าเป็นพระเจ้า
และมิได้เชิญชวนให้พวกเขาเป็นบ่าวของพระองค์แต่อย่างใด)
อื่นจากอัลลอฮ์
หากแต่
(เขาจะกล่าวว่า)
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ผูกพันธ์กับพระเจ้า
(คือเป็นผู้ศรัทธาต่อพระองค์
และให้เอกภาพแด่พระองค์ตลอดจนปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์โดยเคร่งครัด)
เถิด
เนื่องจากการที่พวกท่านเคยสอนคัมภีร์
(คือเคยสอนคัมภีร์เตารอต
และศึกษาคัมภีร์นั้นมาก่อนในฐานะที่เคยศรัทธาต่อท่านนบีมูซา)
และเคยศึกษาคัมภีร์มา
[3:80]
และพวกเขาจะไม่ใช้พวกเจ้าให้ยึดเอามลาอิกะฮ์
และบรรดานบีเป็นพระเจ้า
เขาจะใช้พวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธา
หลังจากที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อม
(คือศรัทธาต่ออัลลอฮ์)
แล้วกระนั้นหรือ?
[3:81]
และจงลำลึกขณะที่อัลลอฮ์
ได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่นบีทั้งหลายว่า
สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี
และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี
ภายหลังได้มีร่อซู้ลคนใดมายังพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้ยืนยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้ว
แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา
และช่วยเหลือเขา
(คือการที่บรรดานบียอมรับสัญญาจากอัลลอฮ์
ที่จะศรัทธาต่อนบีที่มาหลังจากพวกเขานั้นเป็นการยืนยันว่า
พวกอะฮลุลกิตาบนั้นจำเป็นจะต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เพราะว่าเมื่อบรรดานบีของพวกเขา
ยังต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดแล้วไซร้
พวกเขาซึ่งศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขา
ก็ต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัด
ด้วย
ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว
พวกเขาก็หาได้ศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขาไม่)
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าว
พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงเป็นพยานเถิด
และข้าก็อยู่ในหมู่ผู้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย
[3:82]
แล้วผู้ใดที่ผินหลังให้หลังให้หลังจากนั้น
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ละเมิด
[3:83]
อื่นจากศาสนาของอัลลอฮ์
กระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา? และแด่พระองค์นั้น
ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดินได้นอบน้อมกันทั้งด้วยการสมัครใจ
และฝืนใจ
และยังพระองค์นั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไป
[3:84]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
เราได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมแ
ละอิสมาอีล
และอิสหาก
และยะอกูบ
และบรรดาผู้สืบเชื้อสาย
(จากยะอกูบ)
และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซา
และอีซา
และนบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา
(คือไม่แยกศรัทธาเฉพาะบางท่าน
เช่น
ศรัทธาเฉพาะท่านนบีมูซา
ไม่ศรัทธาต่อท่านนบีอีซา
และท่านนบีมุฮัมมัด
ดั่งที่ยิวปฎิบัติ
หรือศรัทธาเฉพาะท่านนบีอีซา
ไม่ศรัทธาต่อท่านนะบุมูซา
และท่านนบีมุฮัมมัด
ดั่งที่พวกคริสต์ปฏิบัติ
หากแต่เราศรัทธาต่อนบีทุกท่าน)
และพวกเรานั้นเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์
[3:85]
และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว
ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด
และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
[3:86]
อย่างไรเล่าที่อัลลอฮ์จะทรงแนะนำพวกใดพวกหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาศรัทธาแล้ว
และทั้งยังได้ยืนยันด้วยว่า
แท้จริงร่อซู้ล
(หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด
ซ้อลลัลลอฮ
อะลัยฮิ
วะซัลลัม)
นั้นเป็นความจริง
และได้มีหลักฐานต่างๆอันชัดแจ้งมายังพวกเขาด้วย
และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำผู้ที่อธรรม
[3:87]
ชนเหล่านี้แหละ
การตอบแทนแก่พวกเขาก้อคือ
การละอนัต
จากอัลลอฮ์
(หมายถึงการขับไล่ให้ห่างไกล
จากเราะหมัต
ของพระองค์
ถ้าจากมะลดอิกะฮ์
และมนุษย์
หมายถึงการขอต่ออัลลอฮ์ให้ทรงขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะหมัตของพระองค์)
จากมะอิกะห์
และจากมนุษย์ทั้งมวลนั้นจะตกอยู่แก่พวกเขา
[3:88]
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในการละอนัตนั้นตลอดกาล
ซึ่งการลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนเบาแก่พวกเขา
และทั้งพวกเขา
และทั้งพวกเขาจะ
ไม่ถูกประวิง
อีกด้วย
[3:89]
นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดหลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้น
และได้ปรับปรุงแก้ไข
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[3:90]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากัน
แล้วยังได้ทวีการปฏิเสธขึ้นอีกนั้น
การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาด
และชนเหล่านี้แหละผู้ที่หลงทาง
[3:91]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และพวกเขาได้หายไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ทองเต็มแผ่นดินก็จะไม่ถูกรับจากคนใดในพวกเขาเป็นอันขาด
และแม้ว่าเขาจะใช้ทองนั้นไถ่ตัวเขาก็ตาม
ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้น
คือการลงโทษอันเจ็บแสบและทั้งไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด
ๆ
สำหรับพวกเขาด้วย
[3:92]
พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลย
จนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบและสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ในสิ่งนั้นดี