PART 7
[5:82]
แน่นอนเจ้าจะพบว่า
หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว
และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์
และแน่นอนเจ้าจะพบว่า
บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่า
พวกเขานั้นคือ
บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสต์
นั่นก็เพราะว่า
ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์
และบาดหลวงและก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง
[5:83]
และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่ร่อซู้ลแล้ว
เจ้าก็จะเห็นตาของพวกเขาหลั่งออกมาซึ่งน้ำตา
เนื่องจากความจริงที่พวกเขารู้
โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดได้ทรงจารึกพวกข้าพระองค์ไว้ร่วมกับบรรดาผู้กล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยเถิด
[5:84]
และไม่มีเหตุผลใด
ๆ
แก่เราที่เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และความจริงที่มายังเรา
และเราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่พระเจ้าของเราจะทรงให้เราเข้าร่วมอยู่กับพวกที่ดี
ๆ ทั้งหลาย
[5:85]
แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงตอบแทนแก่พวกเขาเนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขากล่าวซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้สวนเหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
และนั่นแหละคือ
การตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำดี
[5:86]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น
ชนเหล่านี้แหละคือ
ชาวนรกที่มีเปลวไฟอันโชติช่วง
(อัล-ญะฮีม)
[5:87]
ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าได้ให้เป็นที่ต้องห้าม
ซึ่งบรรดาสิ่งดี
ๆ ในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงอนุมัติแก่พวกเจ้า
และพวกเจ้าจงอย่าละเมิด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ละเมิด
[5:88]
และพวกเจ้าจงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี
ๆ จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยชีพแก่พวกเจ้า
และพึงยำเกรงอัลลอฮ์ผู้ซึ่งพวกเจ้าศรัทธาต่อพระองค์เถิด
[5:89]
อัลลอฮ์จะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคำที่ไร้สาระในการสาบานของพวกเจ้า
แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคำที่พวกเจ้าปลงใจสาบาน
แล้วสิ่งไถ่โทษมันนั้นคือการให้อาหารแก่มิสกีนสิบคนจากอาหารปานกลางของสิ่งที่พวกเจ้าให้เป็นอาหารแก่ครอบครัวของพวกเจ้า
หรือไม่ก็ให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา
หรือไถ่ทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ
ผู้ใดไม่พบก็ให้มีการถือบวชสามวัน
นั่นแหละคือสิ่งไถ่โทษในการสาบานของพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้สาบานไว้
และจงรักษาการสาบานของพวกเจ้าเถิด
ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ
[5:90]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายันต์
และการเสี่ยงติ้วนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน
ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[5:91]
ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น
และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮ์
และการละหมาดแล้วพวกเจ้าจะยุติใหม่
[5:92]
และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์
และจงเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด
และพึงระมัดระวังไว้ด้วย
แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้
ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของร่อซู้ลของเรานั้น
คือ
การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
[5:93]
ไม่มีบาปใด
ๆ
แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาและปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย
ในสิ่งที่พวกเขาได้บริโภค
เมื่อพวกเขามีความยำเกรงและศรัทธา
และปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย
แล้วก็มีความยำเกรงและศรัทธาแล้วก็มีความยำเกรงและกระทำดี
และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย
[5:94]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
แน่นอนอัลลอฮ์
จะทรงทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งหนึ่ง
อันได้แก่สัตว์ล่าที่มือของพวกเจ้าได้มันมา
และหอกของพวกเจ้าด้วย
เพื่ออัลลอฮ์จะทรงรู้ว่าใครที่ยำเกรงพระองค์ในสภาพที่พวกเขาไม่เห็นพระองค์
และผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น
เขาก็จะได้รับโทษอันเจ็บแสบ
[5:95]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าฆ่าสัตว์ล่าในขณะที่พวกเจ้ากำลังครองอิห์รอมอยู่
และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าได้ฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไซร้
การชดเชยก็คือ
ชนิดเดียวกับที่ถูกฆ่า
(จากปศุสัตว์)
โดยผู้ที่ยุติธรรมสองคนในหมู่พวกเจ้าจะกระทำการชี้ขาดมัน
ในฐานะเป็นสัตว์พลีที่ไปถึงอัล-กะฮ์บะฮ์หรือไม่
ก็ให้มีการลงไถ่โทษ
คือให้อาหารแก่บรรดามีสกีน
หรือสิ่งที่เท่าเทียมสิ่งนั้น
ด้วยการถือศีลอด
เพื่อที่เขาจะได้ลิ้มรสผลภัยแห่งกิจกรรมของเขา
อัลลอฮ์ได้ทรงอภัยให้จากสิ่งที่ได้ล่วงเลยมาแล้ว
และผู้ใดกลับกระทำอีก
อัลลอฮ์ก็จะทรงลงโทษเขาและอัลลอฮ์
คือผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงลงโทษ
[5:96]
ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้า
ซึ่งสัตว์ล่าในทะเลและอาหารจากทะเล
ทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้า
และแก่บรรดาผู้เดินทาง
และได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้า
ซึ่งสัตว์ล่าบนบกตราบใดที่พวกเจ้าครองอิห์รอมอยู่และจงยำเกรงอัลลอฮ์เภิดผู้ที่พวกเจ้าจะถูกรวบรวมนำไปสู่พระองค์
[5:97]
อัลลอฮ์ได้ทรงให้อัล-กะอ์บะฮ์
อันเป็นบ้าที่ต้องห้ามนั้นเป็นที่ดำรงอยู่สำหรับมนุษย์และเดือนที่ต้องห้าม
และสัตว์พลีและสัตว์ที่ถูกสวมเครื่องหมายไว้ที่คอ
เพื่อเป็นสัตว์พลีด้วย
นั่นก็เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน
และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง
[5:98]
พวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้รุนแรงในการลงโทษ
และแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษทรงเอ็นดูเมตตา
[5:99]
หน้าที่ของร่อซู้ลนั้นมิใช่อะไรอื่น
นอกจากการประกาศให้ทราบเท่านั้น
และอัลบลอฮ์ทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย
และสิ่งที่พวกเจ้าปกปิด
[5:100]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าสิ่งเลวกับสิ่งดีนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน
และแม้ว่าความมากมายของสิ่งชั่วนั้น
ได้ทำให้ท่านพึงใจก็ตาม
จงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
ผู้มีสติบัญญัติทั้งหลาย!
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[5:101]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าถามถึงสิ่งต่างๆ
หากสิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยขึ้นแล้วมันก็จะก่อให้เกิดความเลวร้ายแก่พวกเจ้า
และถ้าพวกเจ้าถามถึงสิ่งเหล่านั้น
ขณะที่อัล-กรุอานถูกประทานลงมา
มันก็จะถูกเปิดเผยขึ้นแก้พวกเจ้า
อัลลอฮ์ได้ทรงอภัยสิ่งเหล่านั้นแล้ว
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงหนักแน่น
[5:102]
แท้จริงได้มีพวกหนึ่งก่อนพวกเจ้าได้ถามถึงสิ่งต่างๆ
เหล่านั้นมาแล้ว
แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ปฏิเสธสิ่งต่างๆ
เหล่านั้น
[5:103]
อัลลอฮ์มิได้ทรงให้มีขึ้น
ซึ่งบะฮีเราะฮ์และซาอิบะฮ์
และวะซีละฮ์
และฮาม แต่ทว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างหากที่อุปโลกน์ความเท็จแก่อัลลอฮ์
และส่วนมากของพวกเขาไม่ใช่ปัญญา
[5:104]
และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า
ท่านทั้งหลายจงมาสู้สิ่งที่อัลลอฮ์
ได้ทรงประทานลงมาเถิด
และมาสู่ร่อซู้ลด้วย
พวกเขาก็กล่าวว่า
เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว
สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด
และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ?
[5:105]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จำเป็นแก่พวกเจ้าในการป้องกันตัวของพวกเจ้า
ผู้ที่หลงผิดไปนั้นจะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าได้
เมื่อพวกเจ้ารับคำแนะนำไว้ยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด
แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเจ้าทั้งหลาย
ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[5:106]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
การเป็นพยานระหว่างพวกเจ้า-เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้า
ขณะมีการทำพินัยกรรมนั้น-คือสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมในหมู่พวกเจ้า
หรือคนอื่นสองคนที่มิใช่ในหมู่พวกเจ้าหากพวกเจ้าได้เดินทางไปในผืนแผ่นดินแล้วได้มีเหตุภัยแห่งความตายประสบกับพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าจะต้องกักตัวเขาทั้งสองไว้หลังจากละหมาดแล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮ์-หากพวกเจ้าสงสัย-ว่าเราจะไม่นำการสาบานนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาใด
ๆ
และแม้ว่าเขาจะเป็นญาติใกล้ชิดก็ตาม
และเราจะไม่ปกปิดหลักฐานของอัลลอฮ์
(ถ้ามิเช่นนั้น)
แน่นอนทันใดนั้นเองเราก็จะอยู่ในหมู่ผู้ที่กระทำบาป
[5:107]
แล้วหากได้รับรู้ว่าพยานทั้งสองคนนั้นสมควรได้รับโทษก็ให้คนอื่นสองคนทำหน้าที่ในตำแหน่งพยานทั้งสองนั้นแทน
จากบรรดาผู้ที่มีคนสองคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้สมควร
แล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า
แน่นอนการเป็นพยานของเรานั้นสมควรยิ่งกว่าการเป็นพยานของเขาทั้งสอง
และเรามิได้ละเมิด
(ถ้ามิเช่นนั้น)
แน่นอนทันใดนั้นเอง
เราก็จะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม
[5:108]
นั้นแหละคือสิ่งที่ใกล้ยิ่งกว่า
ในการที่พวกเขาจะนำมาซึ่งการเป็นพยานตามความเป็นจริงของมันหรือในการที่พวกเขากลัวว่า
คำสาบานจะถูกปฏิเสธหลังจากที่พวกเขาสาบาน
จงยำเกรงอัลลอฮ์และจงสดับฟังเถิด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำพวกที่เป็นผู้ละเมิด
[5:109]
วันที่อัลลอฮ์จะทรงชุมนุมบรรดาร่อซู้ล
แล้วตรัสว่าสิ่งใดบ้างที่พวกเจ้าได้รับการตอบสนอง
พวกเขากล่าวว่าไม่มีความรู้ใด
ๆ
แก่พวกข้าพระองค์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ความเร้นลับทั้งหลาย
[5:110]
จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์
ตรัสแก่อีซาบุตรของมัรยัมว่า
จงรำถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อเจ้า
และมารดาของเจ้า
ขณะที่ข้าได้สนับสนุนเจ้า
ด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์โดยที่เจ้าพูดกับประชาชน
ขณะที่อยู่ในเปลแลบะขณะที่อยู่ในวัยกลางคน
และขณะที่ข้าได้สอนเจ้า
ซึ่งคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนาและอัต-เตารอตและอัล-อิน-ญีล
และขณะที่เจ้าสร้างขึ้นจากดินดั่งรูปนกด้วยอนุมัติของข้า
แล้วเจ้าเป่าเข้าไปในรูปนกนั้น
มันก็กลายเป็นนกด้วยอนุมัติของข้า
และที่เจ้าทำให้คนตาบอดแต่กำเนิด
และคนเป็นโรคผิวหนังหาย
ด้วยอนุมัติของข้า
และขณะที่เจ้าทำให้บรรดาคนตายออกมา
ด้วยอนุมัติของข้า
และขณะที่ข้าได้ยับยั้งและหันเหวงศ์วานอิสรออีลออกจากเจ้า
เมื่อเจ้านำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้วบรรดาผู้ฝ่าฝืนในหมู่พวกเขาก็กล่าวว่า
สิ่งนี้มิใช่อื่นใด
นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น
[5:111]
และจงรำลึกถึงขณะที่ข้าได้ดลใจแก่อัลฮะวารียินว่าจงศรัทธาต่อข้าและต่อร่อซู้ลของข้าเถิด
พวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว
และโปรดได้ทรงเป็นพยานด้วยว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น
เป็นผู้สวามิภักดิ์
(ต่อพระองค์)
[5:112]
ขณะที่อัล-ฮะวารียูนกล่าวว่า
โอ้อีซาบุตรของมัรยัม!
พระเจ้าของท่านสามารถที่จะให้สำรับอาหารจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเราไหม? เขากล่าวว่า
พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์
หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
[5:113]
พวกเขากล่าวว่า
พวกเราต้องการที่จะบริโภคจากมัน
และที่จะให้หัวใจของพวกเราสงบ
และที่พวกเราจะได้รู้ว่า
ท่านได้พูดจริงแก่พวกเรา
และที่พวกเราจะได้เป็นพยานยืนยันในเรื่องนั้นด้วย
[5:114]
อีซาบุตรของมัรยัม
ได้กล่าวว่า
ข้าแต่อัลลอฮ์
ผู้เป้นพระเจ้าของข้าพระองค์!
โปรดได้ทรงประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์
ซึ่งสำรับอาหารจากฟากฟ้าด้วยเถิด
จะได้เป็นวันรื่นเริงแก่พวกข้าพระองค์
ทั้งแก่คนแรกของพวกข้าพระองค์และแก่คนสุดท้ายของพวกข้าพระองค์
และจะได้เป็นสัญญาณหนึ่งจากพระองค์
และโปรดได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
และพระองค์นั้น
คือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลาย
[5:115]
อัลลอฮ์ตรัสว่า
แท้จริงข้าจะให้มันลงมาแก่พวกเจ้า
แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาหลังจากนั้น
แน่นอนข้าจะลงโทษเขา
ซึ่งโทษที่ข้าจะไม่ลงโทษนั้นแก่ผู้ใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
[5:116]
และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์
ตรัสว่าอีซาบุตรของมัรยัม
เอ๋ย!
เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า
จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์
เขากล่าวว่า
มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน!
ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์
หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น
แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี
โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์
และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์
แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย
[5:117]
ข้าพระองค์มิได้กล่าวแก่พวกเขา
นอกจากสิ่งที่พระองค์ใช้ข้าพระองค์เท่านั้น
ที่ว่าท่านทั้งหลายจงเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์
ผู้เป็นเจ้าของฉัน
และเป็นพระเจ้าของพวกท่านด้วย
และข้าพระองค์ย่อมเป็นพยานยืนยันต่อพวกเขาในระยะเวลาที่ข้าพระองค์อยู่ในหมู่พวกเขา
ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงรับข้าพระองค์ไปแล้ว
พระองค์ท่านก็เป็นผู้ดูและพวกเขา
และพระองค์ทรงเป็นสักขีพยานในทุกสิ่ง
[5:118]
หากพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาแท้จริงพวกเขาก็คือบ่าวของพระองค์
และหากพระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา
แท้จริงพระองค์ท่านคือ
ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[5:119]
อัลลอฮ์ตรัสว่า
นี่แหละคือวันที่การพูดความจริงของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์แก่บรรดาผู้ที่พูดจริง
พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์เหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
ในสภาพที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา
และพวกเขาก็พึงพอใจในพระองค์นั่นแหละคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
[5:120]
อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้น
เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
และพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
Al-An‘âm
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[6:1]
การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและได้ทรงให้มีบรรดาความมืดและแสงสว่าง
แต่แล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้
(สิ่งอื่น)
เท่าเทียมกับพระเจ้าของเขาอยู่
[6:2]
พระองค์คือ
ผู้ที่ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากดิน
แล้วได้ทรงกำหนดเวลาแห่งความยากไว้
และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งนั้น
อยู่ที่พระองค์แต่แล้วพวกเจ้าก็ยังสงสัยกันอยู่
[6:3]
และพระองค์นั้นคือ
อัลลอฮ์
ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน
ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า
และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า
และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่
[6:4]
และไม่มีโองการใด
จากบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขามายังพวกเขา
นอกจากได้ปรากฎว่าพวกเขาผินหลังให้แก่โองการนั้น
[6:5]
แน่นอนพวกเขาได้ปฏิเสธความจริง
เมื่อความจริงนั้นได้มายังพวกเขา
แล้วข่าวคราวของสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้นั้นก็จะมายังพวกเขา
[6:6]
พวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่า
กี่ประชาชาติมาแล้ว
ที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขาซึ่งเราได้ให้พวกเขามีอำนาจและความสามารถในแผ่นดิน
ซึ่งสิ่งที่เรามิได้ให้มีแก่พวกเจ้า
และเราได้ส่งฝนมายังพวกเขาอย่างมากมาย
และเราได้ให้มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของพวกเขา
แล้วเราก็ทำลายพวกเขาเสีย
เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา
และเราได้ให้มีขึ้นหลังจากพวกเขาซี่งประชาชาติอื่น
[6:7]
และหากเราได้ให้ลงมาแก่เจ้า
ซึ่งคัมภีร์ฉบับหนึ่ง
(ที่ถูกจารึกไว้)
ในกระดาษ แล้วพวกเขาก็ได้สัมผัสคัมภีร์นั้นด้วยมือของพวกเขาเอง
แน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาย่อมกล่าวว่า
สิ่งนี้มิใช่อื่นใด
นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น
[6:8]
และพวกเขาได้กล่าวว่า
ไฉนเล่ามะลักจึงมิได้ถูกให้ลงมาแก่เขา
และหากว่าเราได้ให้มะลักลงมาแล้ว
แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ย่อมถูกชี้ขาด
แล้วพวกเขาก็จะไม่ถูกรอคอย
[6:9]
และหากว่าเราได้ให้เขา
เป็นมะลักแน่นอนเราก็ย่อมให้เขาเป็นคนผู้ชาย
และแน่นอนเราก็ย่อมให้สิ่งที่พวกเขาคลุมเคลือกันอยู่
เป็นที่คลุมเคลือแก่พวกเขา
[6:10]
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ล
ก่อนเจ้านั้นได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว
ดังนั้นจึงได้ล้อมบรรดาผู้ที่เย้ยหยันร่อซู้ลเหล่านั้นไว้
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันกัน
[6:11]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงเดินไปในแผ่นดินเถิด
แล้วจงดูว่า
ผลสุดท้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นเป็นอย่างไร?
[6:12]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นของใคร? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์ได้ทรงกำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์
แน่นอน
พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าไปสู่วันกิยามะฮ์
โดยไม่มีการสงสัยใดๆ
:ในวันนั้น
บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น
พวกเขาก็จะไม่ศรัทธา
[6:13]
และสิ่งที่สงบเงียบอยู่ในเวลากลางคืนและกลางวันนั้นเป็นสิทธิของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[6:14]
จงกล่าวเถิด
ฉันจะยึดถือ
ผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์
กระนั้นหรือ
ซึ่งพระองค์เป็นผู้ประดิษฐ์บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และพระองค์เป็นผู้ทรงให้อาหารและไม่ถูกให้อาหาร
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงนั้นถูกใช้ให้เป็นคนแรกในหมู่ผู้ที่สวามิภักดิ์
และพวกท่านจงอย่าอยู่ในหมู่ให้มีภาคีเป็นอันขาด
[6:15]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน
[6:16]
ผู้ใดที่การลงโทษถูกหันเหออกจากเขาในวันนั้นแล้ว
แน่นอนพระองค์ทรงเอ็นดูเมตตาเขา
และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
[6:17]
และหากว่าอัลลอฮ์
ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแล้ว
ก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้
นอกจากพระองค์เท่านั้น
และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า
แท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[6:18]
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[6:19]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
สิ่งใดใหญ่ยิ่งกว่าในการเป็นพยาน
จงกล่าวเถิดว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน
และอัลกุรอานนี้ก็ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน
เพื่อที่ฉันจะได้ใช้อัลกุรอานนี้
ตักเตือนพวกท่าน
และผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึง
พวกท่านจะยืนยันโดยแน่นอนกระนั้นหรือว่า
มีบรรดาที่เคารพสักการะอื่นร่วมกับอัลลอฮ์? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่ยืนยัน
จงกล่าวเถิด
แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
และแท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคี
(แก่อัลลอฮ์)
[6:20]
บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น
พวกเขารู้จักเขา
เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ
ของพวกเขาเอง
บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น
พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[6:21]
และผู้ใดเล่า
คือผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์? แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
[6:22]
และวันที่เราจะชุมนุมพวกเขาทั้งมวล
แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นว่าไหนเล่า
บรรดาภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าอ้างกัน
[6:23]
แล้ว
(ผลแห่ง)
การทดสอบพวกเขาก็มิได้เป็นอย่างอื่น
นอกจากพวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ขอสาบานต่ออัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ว่า
พวกข้าพระองค์ไม่เคยเป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:24]
จงดูเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกเขาได้โกหกแก่ตัวพวกเขาเองอย่างไร? และสิ่งที่พวกเขาเคยอุปโลกน์ขึ้นก็ได้หายไปจากพวกเขา
[6:25]
และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่สดับฟังเจ้าอยู่บ้าง
แต่เราได้ให้มีสิ่งปิดกั้นอยู่บนหัวใจของพวกเขา
ในการที่พวกเขาจะเข้าใจอัลกุร-อาน
และได้ให้ในหูของพวกเขามีความหนวกอยู่ด้วย
และหากพวกเขาเห็นสัญญาณทุกอย่าง
พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาจนกระทั่งพวกเขาได้มาหาเจ้า
ก็ยังโต้เถียงกับเจ้า
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นจะกล่าวว่า
นี่มิใช่อะไรอื่น
นอกจากบรรดาสิ่งขีดเขียนอันไร้สาระของคนก่อนๆ
เท่านั้น
(นิยายโบราณ)
[6:26]
และพวกเขาห้ามเกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน
และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกุรอานด้วย
และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครพินาศ
นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
แต่พวกเขาไม่รู้สึก
[6:27]
และหากเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่พวกเขาถูกให้หยุดยืนเบื้องหน้าไฟนรก
แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า
โอ้!
หวังว่าเราจะถูกนำกลับไป
และเราก็จะไม่ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของเราอีก
และเราก็จะได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา
[6:28]
แต่ทว่าได้ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว
สิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้แต่กาลก่อน
และแม้ว่าพวกเขาถูกให้กลับไป
แน่นอนพวกเขาก็กลับกระทำอีกในสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้
และแท้จริงพวกเขาคือผู้ที่กล่าวเท็จ
[6:29]
และพวกเขากล่าวว่า
มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากชีวิตความเป็นอยู่ของเราในโลกนี้เท่านั้น
และเรานั้นใช่ว่าจะเป็นผู้ถูกให้ฟื้นคืนชีพก็หาไม่
[6:30]
และหากว่าเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่พวกเขาถูกให้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า
นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ?พวกเขาตอบว่า
ใช่ขอรับ
พวกข้าพระองค์ขอสาบานด้วยพระเจ้าของพวกข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษกันเถิด
เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
[6:31]
แน่นอนได้ขาดทุนไปแล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮ์
จนกระทั่งเมื่อวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกเขาโดยกระทันหัน
แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้ความเสียใจของเรา
ในสิ่งที่เราได้ทำให้บกพร่องในโลก
โดยที่พวกเขาแบกบรรดาบาปของพวกเขาไว้บนหลังของพวกเขาด้วย
พึงรู้เถิดว่า
ช่างเลวร้ายจริงๆ
สิ่งที่พวกเขากำลังแบกอยู่
[6:32]
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น
นอกจากการเล่น
และการเพลิดเพลินเท่านั้นและแน่นอนสำหรับบ้านแห่งอาคีเราะห์นั้นดียิ่งกว่า
สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง
พวกเจ้าไม่ได้ใช้ปัญญาดอกหรือ?
[6:33]
เรารู้ดีว่า
สิ่งที่พวกเขากล่าวกันนั้นทำให้เจ้าเสียใจ
แท้จริงพวกเขาหาได้ปฏิเสธเจ้าไม่
แต่ทว่าบรรดาผู้อธรรมนั้นปฏิเสธโองการต่างๆของอัลลอฮ์ต่างหาก
[6:34]
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ลก่อนเจ้านั้นได้ถูกปฏิเสธมาแล้ว
แล้วพวกเขาอดทนต่อสิ่งที่พวกเขาถูกปฏิเสธ
และถูกทำร้ายจนกระทั่ง
ความช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา
และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพจนารถของอัลลฮ์ได้
และแท้จริงนั้นได้มายังเจ้าแล้ว
จากข่าวคราวของบรรดาผู้ที่ถูกส่งมา
[6:35]
และหากว่าการผินหลังให้ของพวกเขานั้นมันใหญ่โตแก่เจ้าแล้ว
หากเจ้าสามารถที่จะแสวงหาช่องใดๆลงในแผ่นดิน
หรือบันไดสู่ฟากฟ้า
แล้วทำสัญญาณหนึ่งมายังพวกเขา
และหากว่าอัลลอฮ์
ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนพระองค์ก็ทรงรวบรวมพวกเขาให้อยู่บนคำแนะนำแล้ว
ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้งมงายเลย
[6:36]
แท้จริง
ที่จะตอบรับนั้นเพียงบรรดาผู้ที่ฟังเท่านั้น
และบรรดาผู้ที่ตายนั้นอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ
แล้วพวกเขาก็จะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[6:37]
และพวกเขากล่าวว่า
ไฉนเล่าจึงไม่มีสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขาถูกให้ลงมาแก่เขา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงสามารถที่จะให้สัญญาณหนึ่งลงมา
แต่ทว่าส่วนมากพวกเขานั้นไม่รู้
[6:38]
และไม่มีสัตว์ใดๆ
ในแผ่นดิน
และไม่มีสัตว์ปีกใดๆที่บินด้วยสองปีกของมัน
นอกจากประหนึ่งเป็นประชาชาติเยี่ยงพวกเจ้านั่นเอง
เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์
แล้วยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
พวกเขาจะถูกนำไปชุมนุม
[6:39]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานั้น
คือผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้
ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืด
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์
พระองค์ก็จะทรงให้เขาหลงทางไป
และผู้ใดที่พระองค์ประสงค์
ก็จะทรงให้เขาอยู่บนทางอันเที่ยงตรง
[6:40]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ? หากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่าน
หรือวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกท่าน
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
[6:41]
มิได้
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ
แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ
หากพระองค์ทรงประสงค์
และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น
[6:42]
และแท้จริงเราได้ส่งไปยังประชาชาติก่อนหน้าเจ้า
แล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขาด้วยความแร้นแค้นและการเจ็บป่วย
เพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม
[6:43]
แล้วไฉนเล่า
พวกเขาจึงไม่นอบน้อม
เมื่อการลงโทษของเราได้มายังพวกเขา
แต่ทว่าหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง
และชัยฏอนก็ได้ให้เป็นที่สวยงามแก่พวกเขาด้วยในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:44]
ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึกในสิ่งนั้น
เราก็เปิดให้แก่พวกเขาซึ่งบรรดาประตูของทุกสิ่ง
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาระเริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับ
เราก็ลงโทษพวกเขาโดยกระทันหัน
แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็หมดหวัง
[6:45]
แล้วได้ถูกตัดขาด
จนคนสุดท้ายของกลุ่มชนที่อธรรม
และการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
[6:46]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ? หากอัลลอฮ์ทรงเอาหูของพวกท่าน
และตาของพวกท่านไป
และได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกท่านด้วยแล้ว
ใครเล่าคือผู้ซึ่งได้รับการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะนำมันมาให้แก่พวกท่านได้
จงดูเถิดว่าอย่างไรเล่าที่เราแจกแจงโองการทั้งหลาย
แล้วพวกเขาก็ยังหันเหไปได้
[6:47]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่ดอกหรือว่า
หากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่านโดยกระทันหันก็ดี
หรือโดยเปิดเผยก็ดีนั้น
จะไม่มีใครถูกทำลาย
นอกจากกลุ่มชนผู้อธรรมเท่านั้น
[6:48]
และเราจะไม่ส่งบรรดาร่อซู้ลมา
นอกจากในฐานะผู้แจ้งข่าวดี
และผู้ตักเตือนเท่านั้น
ดังนั้นผู้ใดที่ศรัทธาและปรับปรุงแก้ไขแล้ว
ก็ไม่มีความกลัวใดๆ
แก่พวกเขา
และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
[6:49]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น
การลงโทษจะประสบแก่พวกเขา
เนื่องจากการที่พวกเขาละเมิด
[6:50]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า
ที่ฉันมีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ์
และทั้งฉันก็ไม่รู้สิ่งเร้นลับ
และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า
ฉันคือมะลัก ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม
นอกจากสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันเท่านั้น
จงกล่าวเถิด คนตาบอดกับคนตาดีนั้นจะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญดอกหรือ?
[6:51]
และเจ้าจงตักเตือนด้วย
อัลกุรอานแก่บรรดาผู้เกรงกลัวว่าพวกเขาจะถูกนำไปชุมนุมยังพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่อื่นจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด
และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใด
สำหรับพวกเขา
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
[6:52]
เจ้าจงอย่าขับไล่บรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขา
ทั้งในเวลาเช้าและเย็น
โดยปรารถนาความโปรดปรานจากพระองค์
ไม่เป็นภัยแก่เจ้าแต่อย่างใด
ในการชำระพวกเขา
และก็ไม่เป็นภัยแก่พวกเขาแต่อย่างใด
จากการชำระเจ้า
แล้วเหตุใดเจ้าจึงจะขับไล่พวกเขา? (ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว)
เจ้าก็จะกลายเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรม
[6:53]
และในทำนองนั้นเราได้ทดสอบบางคนของพวกเขาด้วยอีกบางคน
เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า
ชนเหล่านี้กระนั้นหรือที่อัลลอฮ์ทรงกรุณาแก่พวกเขา
ในระหว่างพวกเรา
อัลลอฮ์นั้นมิใช่เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่กตัญญูดอกหรือ?
[6:54]
และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของเราได้มาหาเจ้า
(มุฮัมมัด)
ก็จงกล่าวเถิดว่าขอความปลอดภัยจงมีแต่พวกท่านเถิด
พระเจ้าของพวกเจ้าได้กำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่วโดยไม่รู้แล้วเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้นและปรับปรุงแก้ไขแล้ว
แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[6:55]
และในทำนองนั้นเราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย
และเพื่อที่วิถีทางของผู้กระทำผิดจะได้ประจักษ์ชัด
[6:56]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพสักการะ
บรรดาผู้ที่พวกท่านวิงวอนกันอยู่
อื่นจากอัลลอฮ์
จงกล่าวเถิด
ฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า
ถ้าเช่นนั้นแน่นอน
ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย
และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ
[6:57]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดเจน
จากพระเจ้าของฉัน
ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็ปฏิเสธหลักฐานนั้น
ที่ฉันนั้นไม่มีสิ่งที่พวกเจ้าเร่งรีบกันดอก
แท้จริงการชี้ขาดนั้นมิใช่สิทธิของใครอื่น
นอกจากเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น
โดยที่พระองค์จะทรงแจ้งความจริง
และพระองค์เป็นผู้ที่เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ชี้ขาด
[6:58]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า หากที่ฉันมีสิ่ง
(อำนาจ)
ที่พวกเจ้าเร่งรีบกันแล้ว
แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ถูกชี้ขาดระหว่างฉันกับพวกท่านแล้วและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อผู้อธรรมทั้งหลาย
[6:59]
และที่พระองค์นั้นมีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับ
โดยที่ไม่มีใครรู้กุญแจเหล่านั้น
นอกจากพระองค์เท่านั้น
และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน
และในทะเล
และไม่มีใบไม้ใด
ร่วงหล่นลงนอกจากพระองค์จะทรงรู้มัน
และไม่มีเมล็ดพืชใดซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน
และไม่มีสิ่งที่อ่อนนุ่มใด
และสิ่งที่แห้งใด
นอกจากจะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
[6:60]
และพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตาย
ในเวลากลางคืน
และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำขึ้นในเวลากลางวัน
แล้วก็ทรงให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพในเวลานั้น
เพื่อว่าเวลาแห่งอายุที่ถูกกำหนดไว้นั้นจะได้ถูกใช้ให้หมดไป
แล้วพระองค์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[6:61]
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์
และทรงส่งบรรดาผู้บันทึกความดีและความชั่วมายังพวกเจ้าด้วย
จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนใดในพวกเจ้าแล้ว
บรรดาทูตของเรา
ก็จะรับชีวิตของพวกเขาไป
โดยที่พวกเขาจะไม่ทำให้บกพร่อง
[6:62]
แล้วพวกเขาก็ถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ผู้เป็นนายอันแท้จริงของพวกเรา
พึงรู้เถิดว่า
การชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
และพระองค์เป็นผู้ที่รวดเร็วยิ่งในหมู่ผู้ชำระทั้งหลาย
[6:63]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า ใครเล่า
จะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบก
และทางทะเล
โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม
และแผ่วเบาว่า
ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กคัญญูรู้คุณ
[6:64]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
อัลลอฮ์จะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมัน
และจากความทุกข์ยากทุกอย่างด้วย
แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก
(แก่พระองค์)
[6:65]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พระองค์คือผู้ทรงสามารถที่จะส่งการลงโทษมายังพวกท่าน
จากเบื้องบนของพวกท่านหรือจากใต้เท้าของพวกท่านหรือ
ให้พวกท่านปนเปกันโดยมีหลายพวก
และให้บางส่วนของพวกท่านลิ้มรสซึ่งการรุกรานของอีกบางส่วน
จงดูเถิด
(มุฮัมมัด) ว่า
เรากำลังแจกแจงโองการทั้งหลายอยู่อย่างไร? เพื่อว่าพวกเขาจะได้เข้าใจ
[6:66]
และกลุ่มชนของเจ้านั้นได้ปฏิเสธอัลกุรอาน
ทั้งๆที่อัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรม
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันมิใช่ผู้พิทักษ์พวกท่านดอก
[6:67]
สำหรับแต่ละข่าวคราวนั้น
ย่อมมีเวลาที่เกิดขึ้น
และพวกเจ้าจะได้รู้
[6:68]
และเมื่อเจ้าเห็นบรรดาผู้ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในบรรดาโองการของเราแล้ว
ก็จงออกห่างจากพวกเขาเสีย
จนกว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่นจากนั้น
และถ้าชัยฏอนทำให้เจ้าลืมแล้ว
ก็จงอย่านั่งรวมกับพวกที่อธรรมเหล่านั้นต่อไป
หลังจากที่มีการนึกขึ้นได้
[6:69]
และไม่เป็นภัยแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงแต่อย่างใดจากการชำระพวกเขา
แต่ทว่าเป็นการตักเตือน
(แก่พวกเขา)
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
[6:70]
และเจ้าจงปล่อยเสีย
ซึ่งบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นของเล่น
และสิ่งให้ความเพลิดเพลิน
และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา
และเจ้าจงเตือนด้วยอัลกุรอาน
การที่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด
จะถูกสังกัดอยู่
กับสิ่งที่ชีวิตได้ขวนขวายไว้
โดยที่อื่นจากอัลลอฮ์แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด
และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใดสำหรับชีวิตนั้น
และถ้าชีวิตนั้นจะไถ่ถอนด้วยสิ่งไถ่ถอนทุกอย่าง
มันก็จะไม่ถูกรับจากชีวิตนั้น
ชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้ถูกให้สังกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้
ซึ่งพวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มจากน้ำที่ร้อนจัด
และจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธการศรัทธา
[6:71]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
เราจะวิงวอน
ขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณแก่เราได้
และไม่ให้โทษแก่เราได้อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? และเราก็จะถูกให้หันส้นเท้าของเรากลับ
หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเราแล้ว
ดั่งผู้ที่พวกชัยฏอนได้ทำให้เขาหลงไปในแผ่นดินในสภาพที่งงงวย
ซึ่งเขามีเพื่อนๆเรียกร้องเขาให้ไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้องว่า
จงมาหาพวกเราเถิด
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้นคือคำแนะนำ
และพวกเราได้รับบัญชาให้เราสวามิภักดิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
[6:72]
และ
(พวกเราได้รับบัญชา)
ว่า
จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
และจงยำเกรงพระองค์เถิด
และพระองค์คือผู้ที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุมยังพระองค์
[6:73]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินด้วยความจริง
และวันที่พระองค์ตรัสว่าเจ้าจงเป็นขึ้น
แล้วมันก็จะเป็นขึ้น
พระดำรัสของพระองค์คือความจริง
และอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นของพระองค์
ในวันที่จะถูกเป่าเข้าไปในแตร
พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ
และในสิ่งเปิดเผย
และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[6:74]
และจงรำลึกขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขา
คืออาซัรว่า
ท่านจะยึดถือเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะกระนั้นหรือ? แท้จริงฉันเห็นว่าท่านและกลุ่มชนของท่านนั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[6:75]
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะให้อิบรอฮีมเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินและเพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เชื่อมั่นทั้งหลาย
[6:76]
ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา
เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง
เขากล่าวว่า
นี้คือพระเจ้าของฉัน
แต่เมื่อมันลับไป
เขาก็กล่าวว่า
ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป
[6:77]
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น
เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน
แต่เมื่อมันลับไป
เขาก็กล่าวว่า
ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว
แน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด
[6:78]
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้น
เขาก็กล่าวว่า
นี้แหละคือพระเจ้าของฉัน
นี้แหละใหญ่กว่า
แต่เมื่อมันได้ลับไป
เขาก็กล่าวว่า
โอ้กลุ่มชนของฉัน!
แท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น
(แก่อัลลอฮ์)
[6:79]
แท้จริงข้าพระองค์ขอผินหน้าของข้าพระองค์แด่ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
ในฐานะผู้ใฝ่หาความจริง
ผู้สวามิภักดิ์
และข้าพระองค์มิใช่คนหนึ่งในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:80]
และกลุ่มชนของเขาได้โต้เถียงเขา
เขาได้กล่าวว่า
พวกท่านจะโต้เถียงฉันในเรื่องอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? และแท้จริงพระองค์ได้ทรงแนะนำฉันแล้ว
และฉันจะไม่กลัวสิ่งที่พวกท่านให้สิ่งนั้นเป็นภาคีขึ้น
นอกจากพระเจ้าของข้าพระองค์จะทรงประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้น
พระเจ้าของฉันนั้นมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่ง
แล้วพวกเจ้าไม่รำลึกกันหรือ?
[6:81]
และอย่างไรเล่าที่ฉันจะกลัวสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น
โดยที่พวกท่านไม่กลัวที่พวกท่านได้ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์
ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงให้มีหลักฐานใดๆ
ลงมาแก่พวกเจ้าในสิ่งนั้น
แล้วฝ่ายใดเล่าในสองฝ่ายนั้น
เป็นฝ่ายที่สมควรต่อความปลอดภัยยิ่งกว่า
หากพวกท่านรู้
[6:82]
บรรดาผู้ที่ศรัทธา
โดยที่มิได้ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับการอธรรมนั้น
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับความปลอดภัย
และพวกเขาคือผู้ที่รับเอาคำแนะนำไว้
[6:83]
และนั่นคือ
หลักฐานของเราที่ได้ให้มันแก่อิบรอฮีม
โดยมีฐานะเหนือกลุ่มชนของเขา
เราจะยกขึ้นหลายขั้น
ผู้ที่เราประสงค์
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้
[6:84]
และเราได้ให้แก่เขา
ซึ่งอิสหาก
และยะอ์กูบ
ทั้งหมดนั้นเราได้แนะนำแล้ว
และนูฮ์เราก็ได้แนะนำแล้วแต่ก่อนโน้น
และจากลูกหลานของเขานั้น
คือ ดาวูด
และสุลัยมาน
และอัยยูบและยูซุฟและมูซา
และฮารูน
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะตอบแทนแก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
[6:85]
และซะกะรียา
และยะฮ์ยา
และอีซา
และอิลยาส
ทุกคนนั้นอยู่ในหมู่คนดี
[6:86]
และอิสมาอีล
และอัล-ยะสะอ์
และยูนุสและลูฏ
แต่ละคนนั้น
เราได้ให้ดีเด่นเหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
[6:87]
และ
(เราได้ให้ดีเด่นอีก)
ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดาของพวกเขา
และลูกหลานของพวกเขาและพี่น้องของพวกเขา
และเราได้เลือกพวกเขา
และได้แนะนำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
[6:88]
นั่นแหละคือ
คำแนะนำของอัลลอฮ์
โดยที่พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์
ด้วยคำแนะนำนั้น
และหากพวกเขาได้ให้มีภาคีขึ้นแล้ว
แน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมา
ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา
[6:89]
ชนเหล่านี้คือ
ผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา
และให้คำตัดสิน
และให้การเป็นนบีด้วย
แต่ถ้าชนเหล่านี้
ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน
แน่นอนเราได้มอบมันไว้แล้วแก่กลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขามิใช่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน
[6:90]
ชนเหล่านี้
คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำไว้
ดังนั้นด้วยคำแนะนำของพวกเขา
เจ้าจงเจริญรอยตามเถิด
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่ขอต่อพวกท่าน
ซึ่งค่าจ้างใดๆ
ในการใช้ให้ศรัทธาต่อ
อัลกุรอาน
อัลกุรอานนั้น
มิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น
[6:91]
และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่อัลลอฮ์ตามควรแก่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์
จงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า
อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานสิ่งใดแก่ปุถุชนใด
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า ผู้ใดเล่าที่ได้ทรงประทานมา
ซึ่งคัมภีร์ที่มูซานำมาเป็นแสงสว่าง
และคำแนะนำแก่มนุษย์
ซึ่งพวกท่านได้บันทึกไวในกระดาษ
โดยที่จะได้เปิดเผยมันและก็ปกปิดมันไว้มากมาย
และพวกเจ้าถูกสอนในสิ่งที่ทั้งพวกเจ้า
และบรรพบุรุษของพวกเจ้ามิได้รู้มาก่อน
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า (ผู้ทรงประทาน)
คืออัลลอฮ์
นั่นเอง
แล้วจงปล่อยพวกเขาสนุกสนานกันในการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาต่อไป
[6:92]
นี้คือ
คัมภีร์ที่เราได้ให้ลงมาอันเป็นคัมภีร์ที่มีความจำเริญ
ที่ยืนยันสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นี้
และเพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนแม่แห่งเมืองทั้งหลาย
และผู้ที่อยู่รอบๆแม่เมืองนั้น
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น
พวกเขาย่อมศรัทธาต่อคัมภีร์นี้
และขณะเดียวกันพวกเขาก็จะรักษาการละหมาดของพวกเขา
[6:93]
และใครเล่าคือ
ผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือกล่าวว่าได้ถูกประทานโองการแก่ฉัน
ทั้งๆที่มิได้มีสิ่งใดถูกประทานให้เป็นโองการแก่เขา
และผู้ที่กล่าวว่า
ฉันจะให้ลงมาเช่นเดียวกับสิ่งที่อัลลอฮ์ให้ลงมา
และหากเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่บรรดาผู้อธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย
และมลาอิกะฮ์
กำลังแบมือของพวกเขา
(โดยกล่าวว่า)
จงให้ชีวิตของพวกท่านออกมา
วันนี้พวกท่านจะได้รับการตอบแทน
ซึ่งโทษแห่งการต่ำต้อย
เนื่องจากที่พวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์โดยปราศจากความจริง
และเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงยะโสต่อบรรดาโองการของพระองค์
[6:94]
และแน่นอนพวกเจ้าได้มายังเราโดยลำพังเยี่ยงที่เราได้บังเกิดพวกเจ้ามาในครั้งแรก
และพวกเจ้าได้ละทิ้งสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังของพวกเจ้า
และเราไม่เห็นอยู่กับพวกเจ้าบรรดาผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้อ้างไว้ว่า
พวกเขาเป็นผู้มีหุ้นส่วนในพวกเจ้า
แน่นอนได้ขาดเป็นเสี่ยงๆแล้วในระหว่างพวกเจ้า
และได้หายจากพวกเจ้าสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างไว้
[6:95]
แท้จริงอัลลอฮ์
เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัมปริออก
ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต
นั่นแหละคืออัลลอฮ์
แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไปได้
[6:96]
ผู้ทรงเผยอรุโณทัย
และทรงให้กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน
และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นการคำนวณ
นั่นคือการกำหนดให้มีขึ้นของผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปริชาญาณ
[6:97]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งดวงดาวทั้งหลาย
เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยดวงดาวเหล่านั้น
ทั้งในความมืดแห่งทางบกและทางทะเล
แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่รู้
[6:98]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากชีวิตหนึ่ง
โดยให้มีที่พัก
และให้มีที่ฝาก
แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่เข้าใจ
[6:99]
และพระองค์นั้นคือ
ผู้ที่ทรงให้น้ำลงมาจากฟากฟ้า
แล้วทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้น
ซึ่งพันธุ์พืชของทุกสิ่งและเราได้ให้ออกจากพันธุ์พืชนั้น
ซึ่งสิ่งที่มีสีเขียว
จากสิ่งที่มีสีเขียวนั้นเราได้ให้ออกมาซึ่งเมล็ดที่ซ้อนตัวกันอยู่
และจากต้นอินทผาลัมนั้น
จั่นของมันเป็นหลายต่ำ
(และทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นอีก)
ซึ่งสวนองุ่นและซัยตูน
และทับทิม
โดยมีสภาพคล้ายกัน
และไม่คล้ายกัน
พวกเจ้าจงมองดู
ผลของมัน
เมื่อมันเริ่มออกผล
และเมื่อมันแก่สุก
แท้จริงในสิ่งเหล่านั้นแน่นอน
มีสัญญาณมากมาย
สำหรับหมู่ชน
ผู้ศรัทธา
[6:100]
และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์
ซึ่งบรรรดาภาคีแห่งญิน
ทั้งๆที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา
แต่พวกเขาอุปโลกษ์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชาย
และบรรดาบุตรหญิง
โดยปราศจากความรู้พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะกัน
[6:101]
พระผู้ทรงประดิษฐ์
บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง
และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
[6:102]
นั่นแหละคืออัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า
ไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะ
นอกจากพระองค์
ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิด
และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง
[6:103]
สายตาทั้งหลายย่อมไม่ถึงพระองค์
แต่พระองค์ทรงถึงสายตาเหล่านั้น
และพระองค์ก็คือผู้ทีรงปรานี
ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน
[6:104]
แท้จริงบรรดาหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้านั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้น ผู้ใดมองเห็น
ก็ย่อมได้แก่ตัวของเขา
และผู้ใดมองไม่เห็น
ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตัวของเขา
และฉันมิใช่เป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเจ้า
[6:105]
และในทำนองเดียวกัน
เราจะแจกแจงโองการทั้งหลายไว้
และเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า
เจ้า
(มุฮัมมัด)
ได้ศึกษามา
และเพื่อเราจะได้ให้แจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้
[6:106]
จงปฏิบัติสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิด
ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น
และเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ให้มีภาคี
เถิด
[6:107]
และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว
พวกเขาก็ย่อมมิให้มีภาคีขึ้น
และเราก็มิได้ให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเขา
และเจ้าก็มิใช่เป็นผู้รับมอบหมาย
ให้คุ้มครองรักษาพวกเขาด้วย
[6:108]
และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า
บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ
อื่นจากอัลลอฮ์
แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด
โดยปราศจากความรู้
ในทำนองนั้นแหละ
เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ
ซึ่งการงานของพวกเขา
และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
คือการกลับไปของพวกเขา
แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:109]
และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์หนักแน่นอย่างยิ่งว่า
ถ้าหากมีสัญญาหนึ่ง
มายังพวกเขา
แน่นอนพวกเขาจะศรัทธา
เนื่องด้วยสัญญาณนั้น
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า แท้จริงสัญญาณทั้งหลายนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้น
ซึ่งการงานของพวกเขาและยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
คือการกลับไปของพวกเขา
แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะทำกัน
[6:110]
และเราจะพลิกหัวใจของพวกเขา
และตาชองพวกเขา
เช่นเดียวกับที่พวกเขามิได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น
ในครั้งแรก
และเราจะปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในความละเมิดของพวกเขาต่อไป