PART 8
[6:111]
และแม้ว่าเราได้ให้มลาอิกะฮ์ลงมายังพวกเขา
และบรรดาคนตายได้พูดกับพวกเขา
และเราได้รวบรวมทุกสิ่งไว้เบื้องหน้าพวกเขา
ก็ใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธากัน
นอกจากอัลลอฮ์จะทรงประสงค์เท่านั้น
แต่ทว่าส่วนมากในหมู่พวกเขานั้นไม่รู้
[6:112]
และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน
คือ
บรรดาชัยฏอนมนุษย์
และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน
ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง
และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้
เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์
ขึ้นเถิด
[6:113]
และเพื่อที่หัวใจของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกจะได้โน้มเอียงไปสู่คำพูดที่ตกแต่งนั้นและเพื่อที่พวกเขาจะได้พึงพอใจในคำพูด
นั้น
และเพื่อที่พวกเขาจะได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้กระทำกันอยู่
[6:114]
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาด
ทั้ง ๆ
ที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด
? และบรรดาผุ้ที่เรา
ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา
นั้น
พวกเขารู้ดีว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้า
ด้วยความเป็นจริง
เจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
[6:115]
และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว
ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[6:116]
และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว
พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป
พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอา
เอง
และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น
[6:117]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรู้ยิ่งต่อผู้ที่กำลังหลงไปจากท่ายของพระองค์
และเป็นผู้รู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่รับเอาคำแนะนำ
[6:118]
ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่ง
ที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน
เถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์
[6:119]
แลมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเข้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน
ทั้งๆ
ที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งสิ่ง
ที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้า
นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการ
มันเท่านั้น
และแท้จริงมีผู้คนมากมายทำให้ผู้อื่นหลงผิดไป
ด้วยความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้แท้จริง
พระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรอบรู้ยิ่งต่อผู้ละเมิดทั้งหลาย
[6:120]
และพวกเจ้าจงสละซึ่งบาปที่เปิดเผยและบาปที่ปกปิด
แท้จริงบรรดาผู้ที่ขวนขวายกระทำสิ่งที่เป็นบาปกันอยู่นั้น
พวกเขาจะได้รับการตอบแทน
ตามที่พวกเขากระทำกัน
[6:121]
และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์มิได้ถูกกล่าวบน
มัน และแท้จริงมัน
เป็นการละเมิดแน่ๆ
และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย
ของมัน
เพื่อพวกเขา
จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า
และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา
แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:122]
และผู้ที่ตายแล้ว
แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น
และเราได้ให้แสงสว่าง
แก่เขาซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยที่มิใช่เป็นผู้ที่จะออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ
? ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงาม
แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่
[6:123]
และในทำนองนั้นแหละ
เราได้ให้มีขึ้นในแต่ละเมือง
ซึ่งบรรดาบุคคลสำคัญ
ๆ เป็นผู้กระทำความผิดแห่งเมืองนั้นๆ
เพื่อที่พวกเขาจะได้วางอุบายหลอกลวงในเมืองนั้น
และพวกเขาจะไม่วางอุบายหลอกลวง
นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
แต่พวกเขาหารู้สึกไม่
[6:124]
และเมื่อได้มีโองการใดมายังพวกเขาพวกเขาก็กล่าวว่า
เราจะไม่ศรัทธาเป็นอันขาด
จนกว่าเราจะได้รับ
เยี่ยงสิ่งที่บรรดาร่อซู้ลของอัลลอฮ์ได้รับมาแล้ว
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
ณ ที่ ที่พระองค์จะทรงให้มีสารของพระองค์ขึ้น
บรรดาความต่ำต้อยและการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮ์นั้น
จะประสบแก่บรรดาผู้ที่กระทำความผิด
เนื่องจากการที่พวกเขาวางอุบายหลอกลวงกัน
[6:125]
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงต้องการจะแนะนำเขาก็จะทรงให้หัวอกของเขาเบิกบาน
เพื่ออิสลาม
และผู้ใดที่พระองค์ทรงต้องการจะปล่อยให้เขาหลงทาง
ก็จะทรงให้ทรวงอกของพวกเขาแคบ
อึดอัด ประหนึ่งว่าเขากำลังขึ้นไปยังฟากฟ้า
ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงให้มีความโสมม
แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[6:126]
และนี่แหละคือทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยมีสภาพอันเที่ยงตรง
แท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายไว้
แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่รำลึก
[6:127]
สำหรับพวกเขา
นั้น
คือนิวาสแห่งความปลอดภัย
ในพระผู้เป็นเจ้าจองพวกเขา
แลบะขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นผู้คึ้มครองพวกเขาด้วยเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากระทำ
[6:128]
และวันที่พระองค์ตจะทรงชุมชนพวกเขาไว้ทั้งหมด
(โดยตรัสขึ้นว่า)
หมู่ญิณทั้งหลาย
! แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมาย
และบรรดาสหายของพวกเขาจนหมู่มนุษย์ได้กล่วว่าข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์บางส่สนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วน
และพวกข้าพระองค์ก็ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลา
ของพวกข้าพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคอที่อยู่ของพวกเจ้า
โดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาลนอกจากสิ่ง
ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้
[6:129]
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บางส่วนของผู้อธรรมทั้งหลายเป็นสหายกับอีกบางส่วน
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาขวนขวายกัน
[6:130]
หมู่ญินและมนุษย์ทั้งหลาย!
บรรดาร่อซู้ลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าดอกหรือ? โดยที่พวกเขาจะบอกเล่าแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาโองการของข้า
และเตือนพวกเจ้า
ซึ่งบรรดาโองการของข้า
และเพื่อนพวกเจ้า
ซึ่งการพบกับวัน
ของพวกเจ้านี้
พวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ขอยืนยันแก่ตัวของพวกเข้าพระองค์เอง
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา
และพวกเขาก็ได้ยืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองว่า
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[6:131]
นั่นก็เพราะว่า
พระเจ้าของเจ้านั้นมิเคยเป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายด้วยความอธรรม
โดยที่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่รู้อะไร
[6:132]
และสำหรับแต่ละคนนั้นมีหลายระดังชั้น
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้และพระเจ้าของเจ้านั้นมิใช่เผลอไผลในสื่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:133]
และพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ทรงมั่งมี
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
หากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดสิ้นไป
และจะทรงให้สืบ
แทนจากพวกเจ้า
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ดังที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากลูหลานของกลุ่มชนอื่น
[6:134]
แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้
นั้นจะมาแน่นอน
และพวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้
[6:135]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ประชาชาติของฉันทั้งหลาย!
จงปฏิบัติตามสภาพ
ของพวกท่านเถิด
แท้จริงฉันก็จะเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
และพวกท่านจะได้รู้ว่าใครกัน
บั้นปลาย
แห่งปรโลกจะเป็นของเขา
แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
[6:136]
และพวกเขาได้ให้มีส่วนหนึ่งสำหรับอัลลอฮ์
ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้บังเกิดขึ้นอันได้แก่พืชและปศุสัตว์
โดยที่พวกเขากล่าวว่า
นี้สำหรับอัลลอฮ์ตามการอ้างของพวกเขา
และนี้สำหรับบรรดาภาคีของพวกเรา
แล้วส่วนที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขานั้นก็จะไม่ถึงอัลลอฮ์
แต่ส่วนที่เป็นของอัลลอฮ์นั้นจะถึงบรรดาภาคีของพวกเขา
ช่างชั่วช้าแท้
ๆ
สิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน
[6:137]
และในทำนองนั้นแหละ
บรรดาภาคีของพวกเขา
นั้น
ได้ทำให้สวยงามแก่จำวนมากมายในหมู่มุชริกีน
ซึ่งการฆ่าลุก
ๆ
ของพวกเขาเพื่อที่จะทำลายพวกเขา
แลเพื่อที่จะให้สับสนแก่พวกเขา
ซึ่งศาสนา
ของพวกเขา
และแม้ว่าอัลลอฮ์ประสงค์
แล้วพวกเขาย่อมไม่กระทำมันเจ้า
จงปล่อยพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จกันเถิด
[6:138]
และพวกเขากล่าว่า
นี้คือปศุสัตว์ปละพืชผลที่หวงห้ามไว้
ซึ่งไม่มีใครจะบริโภคมันได้นอกจากผู้ที่เราประสงค์
เท่านั้น
ด้วยการอ้างของพวกเขา
และปศุสัตว์ที่หลังของมันถูกห้าม
และปศุสัตว์
ที่พวกเขาจะไม่กล่าวพระนามอัลลอฮ์บนมัน
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์
ความเท็จแก่พระองค์
ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนลบงโทษพวกเขาใฝนสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้น
[6:139]
และพวกเขากล่าวว่า
สิ่งที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์
เหล่านั้น
เฉพาะบรรดาผู้ชายของเราเท่านั้น
และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแก่บรรดาภรรยาของเรา
และหากว่ามัน
ตาย พวกเขา
พวกเขา
ก็เป็นผู้มีหุ้นส่วนในมัน
และพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา
ในการที่เขาได้กำหนดลักษณะไว้
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้
[6:140]
แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว
บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก
ๆ ของพวกเขา
เพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้
และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้เป็นปัจจัยบยังชีพแก่พวกเขา
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปแลพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ
[6:141]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้มีขึ้น
ซึ่งสวนทั้งหลาย
ทั้งที่ถูกให้มีร้านขึ้น
และไม่ถูกให้มีร้านขึ้น
และต้นอินทผาลัม
และพืชโดยที่ผลของมันต่างๆ
กัน และต้นซัยตูน
และต้นทับทิมโดยที่มีความละม้ายคล้ายกัน
และไม่ละม้ายคล้ายกัน
จงบริโภคจากผลของมันเถิดเมื่ออกผลและจงจ่ายส่วนอันเป็นสิทธิ
ในมันด้วย
ในวันแห่งการเก็บเกี่ยวมัน
และจงอย่าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
[6:142]
และหลังจากหมู่ปศุสัตว์นั้น
(ได้ทรงให้มี)
ที่ใช้บรรทุก
และเชือด
จงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้เาถิดและจงอย่าตามก้าวเดิน
ของชัยฏอน
แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้งของพวกเจ้า
[6:143]
และ
(ได้ทรงให้มี)
สัตว์แปดตัวเป็นคู่
ๆ คือจากแกะสองตัว
และจากแพะสองตัว
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ตัวผู้สองตัว
นั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม
หรือว่า
ตัวเมียสองตัวนั้น
หรือว่าทีมดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้
พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง
หากพวกท่านพูดจริง
[6:144]
และจากอูฐสองตัว
และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ตัวผู้สองตัวนั้น
กระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้งสอง
นั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้
หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่
ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้
ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
เพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด
โดยไม่มีความรู้
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
[6:145]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น
มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน
นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง
หรือเลือดที่ไหลออก
หรือเนื้อสุกร
แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม
หรือเป็นสิ่งละเมิด
ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน
ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน
โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหา
และมิใช่ผู้ละเมิด
แล้วไซร้
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้ทรงอภัยโทษ
เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[6:146]
และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น
เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกัน
และจากวัวและแกะนั้น
เราได้ห้ามแก่พวกเขา
ซึ่งไขมันของมัน
นอกจากไขมันที่หลังของมัน
หรือลำไส้ได้อุ้มไว้
หรือที่ปะปนอยู่ที่กระดูกนั่นแหละ
เราได้ลงโทษพวกเขา
เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา
และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้พูดจริง
[6:147]
หากพวกเขาปฏิเสธเจ้า
ก็จงกล่าวเถิดว่าพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวาง
และการลงโทษของพระองค์นั้นจะไม่ถูกโต้กลับให้พ้นจากกลุ่มชนที่กระทำความผิด
[6:148]
บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นนั้นจะกล่าวว่าหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์
แล้วไซร้ พวกเราก็ย่อมไม่ให้มีภาคีขึ้น
และทั้งบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วย
และพวกเราก็ย่อมไม่ให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม
ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ได้มุสาแล้ว
จนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า ที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดกระนั้นหรือ
ฉะนั้นพวกเจ้าจงจะต้องนำมันออกมาให้แก่เรา
พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใด
นอกจากการคาดคิดเอาเท่านั้น
และพวกท่านไม่มีอื่นใด
นอกจากจะกล่าวเท็จเท่านั้น
[6:149]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง
หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด
[6:150]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงนำมาซึ่งบรรดาพยานของพวกท่านที่จะยืนว่า
แท้จริงฮัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสิ่งนี้
แล้วถ้าพวกเขา
(เป็นพยาน)
ยืนยัน
เจ้าก็อย่ายืนยันกับพวกเขาด้วยและอย่าตามความใคร่ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปกโลก
และขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้สิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระเจ้าของพวกเขา
[6:151]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าท่านทั้งหลายจงมากันเถิด
ฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ห้ามไว้แก่พวกท่านคือ
พวกเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจริง
ๆ และอย่าฆ่าลูกของพวกเจ้า
เนื่องจากความจนเราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า
และแก่พวกเขา
และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า
ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด
และอย่าฆ่าชีวิต
ที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้
นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา
[6:152]
และจงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้า
นอกจากด้วยวิถีทางที่ดียิ่ง
จนกว่าเขาจะบรรลุวัยฉกรรจ์
และจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งด้วยความเที่ยงตรง
เราจะไม่บังคับชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นและเมื่อพวกเจ้าพูด
ก็จงยุติธรรม
และแม้ว่าเขา
จะเป็นญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม
และต่อสัญญาของอัลลอฮ์นั้นก็จงปฏิบัติตามให้ครบถ้วย
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[6:153]
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด
และอย่าปฏิบัติตามหลาย
ๆ ทาง
เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์
นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
[6:154]
แล้วเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาทั้งนี้เป็นการครบถ้วน
แก่ผู้ที่กระทำดี
และเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่าง
และเพื่อเป็นการแนะนำ
และเป็นการเอ็นดูเมตตา
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อการพบกับพระเจ้าของพวกเขา
[6:155]
และนี้แหละคือคัมภีร์
ที่มีความจำเริญซึ่งเราได้ให้คัมภีร์ลงมายังเจ้า
จงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด
และจงยำเกรง
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา
[6:156]
(มิเช่นนั้น)
พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานลงมาให้แก่สองพวก
เท่านั้น
ก่อนหน้าพวกข้าพระองค์และแท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องในการอ่านของพวกเขา
[6:157]
หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น
หากได้มีคัมภีร์ถูกประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์แล้วไซร้
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ในคำแนะนำดียิ่งกว่าพวกเขา
แท้จริงนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้วจากพระเจ้าของพวกเจ้า
ซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้ง
และคำแนะนำและการเอ็นดูเมตตา
ดังนั้นใครเล่าคือผู้อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติบรรดาโองการของอัลลอฮ์และผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้น
เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ผินหลังให้แก่โองการทั้งหลายของเรา
ซึ่งการลงโทษอันชั่วช้า
เนื่องจากการที่พวกเขาผินหลังให้
[6:158]
พวกเขามิได้รอคอยอะไร
นอกจากการที่มลาอิกะฮ์จะมายังพวกเขา
หรือการที่พระเจ้าของเจ้าจะมา
หรือการที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้าจะมา
วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น
จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด
ซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน
หรือมิได้แสวงหาความดีใด
ๆ
ไว้ในการศรัทธาของเขา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงรอกันเถิด
แท้จริงพวกเราก็เป็นผู้รอคอย
[6:159]
แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา
และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง
ๆ นั้นเจ้า
(มุฮัมมัด)
หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น
ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:160]
ผู้ใดที่นำความดีมา
เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น
และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน
นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น
และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[6:161]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันนั้น
พระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
คือศาสนที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง
และเขา
(อิบรอฮีม)
ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:162]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงการละหมาดของฉัน
และการอิบาดะฮ์
ของฉัน
และการมีชีวิตของฉัน
และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
[6:163]
ไม่มีภาคีใด
ๆ แก่พระองค์
และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้
และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย
[6:164]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่ฉันจะแสวงหาพระเจ้า? ทั้ง
ๆ
ที่พระองค์นั้นเป็นพระเจ้าของทุกสิ่ง
และแต่ละชีวิตนั้นจะไม่แสวงหาสิ่งใด
นอกจากจะเป็นภาระแก่ชีวิตนั้นเองเท่านั้น
และไม่มีผู้แบกภาระคนใดจะแบกภาระของผู้อื่นได้แล้วยังพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
คือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
[6:165]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดิน
และได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้น
เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
Al-A‘râf
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[7:1]
อะลิฟ
ลาม มีม ศอด
[7:2]
มีคัมภีร์ฉบับหนึ่ง
ซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า
ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า
ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน
(ผู้คน)
และเพื่อเป็นข้อเตือนใจ
แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[7:3]
พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด
และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใดๆ
อื่นจากพระองค์
ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรำลึก
[7:4]
และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันโดยที่การลงโทษของเราได้มายังเมืองนั้น
ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนในเวลาบ่าย
[7:5]
มิปรากฏว่า
พวกเขาวิงวอนขออื่นใดขณะที่การลงโทษของเราได้มายังพวกเขา
นอกจากการที่พวกเขากล่าว
(สารภาพ) ว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์เป็นผู้อธรรม
[7:6]
แน่นอนเราจะถามบรรดาผู้ที่ถูกร่อซู้ลไปยังพวกเขา
และแน่นอนเราจะถามบรรดาร่อซู้ลทั้งหลายด้วย
[7:7]
แน่นอนเราจะนำความรู้มาเล่าให้พวกเขาฟัง
และเราไม่เคยหายไปไหน
[7:8]
และการชั่งเป็นความจริงผู้ใดที่ตราชูของเขาหนักชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ
[7:9]
และผู้ใดที่ตราชูของเขาเบาชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ก่อความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
เนื่องจากการที่พวกเขามิได้ให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาโองการของเรา
[7:10]
และแท้จริงนั้น
เราได้ให้พวกเจ้ามีที่พำนักอยู่ในแผ่นดิน
และเราได้ให้มีขึ้นแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาเครื่องยังชีพในผืนแผ่นดินนั้น
ส่วนน้อยของพวกเจ้าเท่านั้นที่ขอบคุณ
[7:11]
และแท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้า
แล้วเราได้ให้พวกเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงสุยูดแก่อาดัมเถิด
แล้วพวกเขาก็สุยูดกัน
นอกจากอิบลิสเท่านั้น
มิปรากฏว่ามันอยู่ในหมู่ผู้สุยูด
[7:12]
พระองค์ตรัสว่า
อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุยูด
ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า
มันกล่าวว่า
ข้าพระองค์ดีกว่าเขา
โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จาไฟ
และได้บังเกิดเขาจากดิน
[7:13]
พระองค์ตรัสว่า
จงลงจากสวนนั้นไปเสีย
ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น
จงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย
[7:14]
มันกล่าวว่า
โปรดผ่อนผันข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด
[7:15]
พระองค์ตรัสว่า
แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน
[7:16]
มันกล่าวว่า
ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด
แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา
ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์
[7:17]
แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขา
จากเบื้องหน้าของพวกเขา
และจากเบื้องหลังของพวกเขาและจากเบื้องขวาของพวกเขา
และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา
และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น
เป็นผู้ขอบคุณ
[7:18]
พระองค์ตรัสว่า
จงออกจากสวนนั้น
ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน
และถูกขับไล่
ข้าสาบานว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า
ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัมทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด
[7:19]
และพระองค์ตรัสว่า
อาดัมเอ๋ย !
ทั้งเจ้าและคู่ครองเจ้าจงอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด
แล้วจงบริโภค
ณ
ที่ใดก็ได้ที่เจ้าทั้งสองประสงค์และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้
(มิเช่นนั้นแล้ว)
เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่อธรรม
[7:20]
แล้วชัยฏอนก็ได้กระซิบกระซาบแก่ทั้งสองนั้นเพื่อที่จะเผย
แก่เขาทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปิดบังแก่เขาทั้งสองไว้
อันได้แก่สิ่งอันถึงละอายของเขาทั้งสอง
และมันได้กล่าวว่า
พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงหวงห้ามท่านทั้งสอง
ซึ่งต้นไม้ต้นนี้
(เพราะอื่นใด)
นอกจากการที่ท่านทั้งสองจะกลายเป็นมลาอิกะฮ์
หรือไม่ก็กลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาลเท่านั้น
[7:21]
และมันได้สาบานแก่ทั้งสองนั้นว่าแท้จริง)
นอยู่ในพวกที่แนะนำท่านทั้งสอง
[7:22]
แล้วเราก็ทำให้ทั้งสองนั้นตกอยู่ในสิ่งที่มันต้องการ
อันเนื่องจากการหลอกลวง
ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสต้นไม้ต้นนั้นแล้ว
สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง
ก็เผยให้ประจักษ์แก่เขาทั้งสอง
และเขาทั้งสองก็เริ่มปกปิดบน
(ส่วนที่น่าละอาย)
ของเขาทั้งสองจากใบไม้แห่งสวนสวรรค์
นั้น
และพระเจ้าของเขาทั้งสองจึงได้เรียกเขาทั้งสอง
(โดยกล่าวว่า)
ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับต้นไม้นั้นดอกหรือ? และข้ามิได้กล่าวแก่เจ้าทั้งสองดอกหรือว่า
แท้จริงชัยฏอน
นั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งแก่เจ้าทั้งสอง
[7:23]
เขาทั้งสองได้กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกเข้าพระองค์
พวกข้าพระองค์ได้อธรรมแก่ตัวของพวกข้าพระองค์เอง
แลถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์และเอ็นดูเมตตาแก่ข้าพระองค์แล้ว
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็ต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน
[7:24]
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงลงกันไปโดยที่บางส่วนของพวกเจ้า
คือ
ศัตรูกับอีกบางส่วนและในแผ่นดินนั้นมีที่พำนัก
และสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าจนถึงระยะเวลาหนึ่ง
[7:25]
พระองค์ตรัสว่า
ในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่
และในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะตาย
และจากแผ่นดินนั้นและพวกเจ้าจะถูกออกมาอีก
[7:26]
ลูกหลานอาดัมเอ๋ย!
แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งเครื่องนุ่งห่มทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม
และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั่นคือสิ่งที่ดียิ่งนั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์
เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก
[7:27]
ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย!
จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้า
เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว
โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่มของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอายของเขาทั้งสองแท้จริงทั้งมัน
และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน
แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[7:28]
และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ
พวกเขาก็กล่าวว่า
พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา
และอัลลอฮ์ก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก
พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?
[7:29]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงผินให้ตรงซึ่งใบหน้าของพวกเจ้า
ณ ทุก ๆมัสยิด
และจงวินวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้มอบอิบาดะฮ์ทั้งหลายแด่พระองค์โดยบริสุทธิ์ใจ
เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าแต่แรกนั้น
พวกเจ้าก็จะกลับไป
[7:30]
พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้
และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด
แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์
และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ
[7:31]
ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย
!
จงเอาเครื่องประดับกายของพวกเจ้า
ณ
ทุกมัสยิดและจงกินและจงดื่ม
และจงอย่าฟุ่มเฟือย
แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย
[7:32]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้าม
ซึ่งเครื่องประดับร่างกาย
จากอัลลอฮ์
ที่พระองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์
และบรรดาสิ่งดี
ๆ
จากปัจจัยยังชีพ
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมัด)
ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธา
ในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้
(และสำหรับพวกเขา)
โดยเฉพาะ
ในวันกิยามะฮ์
ในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายแก่ผู้ที่รู้
[7:33]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามนั้น
คือบรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ
ทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย
และสิ่งที่เป็นบาป
และการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม
และการที่พวกเจ้าให้เป็นภาคแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด
ๆ
ลงมาแก่สิ่งนั้น
และการที่พวกเจ้ากล่าวให้ภัยแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้
[7:34]
และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่ง
ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว
พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้
และจะขอให้เร็วไป
(สักชั่วโมงหนึ่ง)
ก็ไม่ได้
[7:35]
ลูกหลานอาดัมเอ๋ย
!
ถ้ามีบรรดาร่อซู้ลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้วผู้ใดที่ยำเกรงและปรับปรุงแก้ไขแล้วก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆแก่พวกเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
[7:36]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและแสดงโอหังเหล่านั้นชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
[7:37]
แล้วผู้ใดเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโหลกความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์
ชนเหล่านี้แหละส่วนของพวกเขาที่ถูกกำหนดไว้นั้นก็จะได้แก่พวกเขา
จนกว่าบรรดาฑูตของเราที่จะเอาชีวิตของพวกเขาได้มายังพวกเขาโดยกล่าวว่า
ไหนเล่าสิ่ง
ที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์? พวกเขาก็กล่าวว่า
เขาเหล่านั้นได้หายหน้าไปจากเราเสียแล้ว
และพวกเขาได้ยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า
พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[7:38]
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงเข้าไปในหมู่ประชาชาติที่ได้ล่วงลับมาก่อนพวกเจ้าทั้งที่เป็นญิน
(บังเกิดมาจากไฟ)
และมนุษย์ ซึ่งอยู่ในไฟนรกนั้นเถิด
ทุกครั้งที่มีกลุ่มชนหนึ่งเข้าไป
พวกเขาก็สาปแช่งพี่น้องของพวกเขา
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้ไปทันกันในไฟนรกนั้นทั้งหมด
แล้ว
กลุ่มหลังสุดของพวก
เขาก็กล่าวแก่กลุ่มแรกของพวกเขาว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์
ชนเหล่านี้แหละได้ทำให้พวกข้าพระองค์หลงผิด
ดังนั้นโปรดได้ทรงนำมาแก่พวกเขา
ซึ่งการลงโทษสองเท่าจากไฟนรกด้วยเถิด
พระองค์ตรัสว่า
แต่ละกลุ่มนั้นจะได้รับสองเท่า
แต่ทว่าพวกเจ้าไม่รู้
[7:39]
และกลุ่มแรกของพวกเขา
ได้กล่าวแก่กลุ่มหลังว่า
พวกท่านไม่มีความที่เด่นใด
ๆ เหนือพวกเรา
ดังนั้นพวกท่านจงชิมการลงโทษ
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหากันไว้เถิด
[7:40]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่าง
ๆของเรา
และได้แสดงโอหังต่อโองการเหล่านั้น
บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา
และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์
จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะตอบแทนลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด
[7:41]
สำหรับพวกเขานั้น
คือ
ที่นอนจากนรกญะฮันนัม
และจากเบื้องบนของพวกเขานั้น
มีสิ่งคลุมครอบอยู่
และในทำนองนั้นแหละเราจะตอบแทนลงโทษแก่บรรดาผู้อธรรม
[7:42]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นเราไม่บังคับชีวิตใด
นอกจากที่ชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นชนเกล่านี้แหละคือชาวสวรรค์
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นชั่วนิรันดร์
[7:43]
และเราได้ถอนออกซึ่งการผูกใจเจ็บที่อยู่ในหัวอกของพวกเขา
(คือชาวสวรรค์)
โดยมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่ภายใต้ของพวกเขาและพวกเขาได้กล่าวว่า
การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงแนะนำพวกเราให้ได้รับสิ่งนี้
และใช่ว่าพวกเราจะได้รับคำแนะนำก็หาไม่
หากว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงแนะนำแก่พวกเรา
แน่นอนบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเรานั้นได้นำความจริงมาและพวกเราได้ถูกป่าวร้องว่า
นั้นแหละคือสวนสวรรค์โดยที่พวกท่านได้รับมันไว้เป็นมรดก
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าเคยกระทำกันไว้
[7:44]
และชาวสวรรค์ได้ร้องเรียกชาวนรกว่าแท้จริงพวกเราได้พบแล้วว่าสิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เราไว้นั้นเป็นความจริง
และพวกท่านได้พบสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้เป็นความจริงไหม? พวกเขากล่าวว่า
เป็นความจริงแล้วมีผู้ประกาศคนหนึ่งได้ประกาศขึ้นในระหว่างพวกเขาว่า
ขอละอ์นัตของอัลลอฮ์จงมีแต่ผู้อธรรมทั้งหลายเถิด
[7:45]
คือบรรดาผู้ที่ขัดขวางทางของอัลลอฮ์
และปรารถนาให้ทางนั้นคดเคี้ยว
และต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาปฏิเสธศรัทธา
[7:46]
และระหว่างพวกเขานั้นมีกำแพงกั้น
และบนส่วนสูงของกำแหงนั้นมีบรรดาชายกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งพวกเขารู้จัก
(พวกนั้น)
ทั้งหมด
ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา
(ชาวสวรรค์)
และพวกเขาได้เรียกชาวสวรรค์
(โดยกล่าวว่า)
ขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดโดยที่พวกเขา
ยังมิได้เข้าสวนสวรรค์
ทั้ง ๆ
ที่พวกเขาก็ปรารถนาอย่างแรงกล้า
[7:47]
และเมื่อบรรดาสายตาของพวกเขาถูกหันไปทางชาวนรก
พวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
โปรดอย่าได้ทรงให้พวกข้าพระองค์ร่วมอยู่กับกลุ่มผู้อธรรมเหล่านั้นเลย
[7:48]
และบรรดาผู้ที่อยู่บนส่วนสูงของกำแพงนั้นได้ร้องเรียกชายกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขารู้จักพวกนั้นได้ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา
(ชาวนรก)
โดยกล่าวว่ามันย่อมไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านเลยซึ่งการสะสม
(ทรัพย์)
ของพวกท่านและการที่พวกท่านหยิ่งยะโส
[7:49]
ชนเหล่านี้ใช่ไหมคือผู้ที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ว่า
อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้ได้แก่พวกเขาซึ่งความเอ็นดูเมตตาใด
ๆ พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์กันเถิดโดยปราศจากความกลัวใด
ๆ แก่พวกเจ้า
และทั้งพวกเจ้าก็จะไม่เสียใจ
[7:50]
และชาวนรกได้ร้องเรียกชาวสวรรค์ว่า
จงเทน้ำมาให้แก่พวกเราด้วยเถิด
หรือไม่ก็สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่านด้วย
เขาเหล่านั้นกล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงให้สิ่งทั้งสองนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[7:51]
คือบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน
และเป็นของเล่น
เลแชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ก็ได้หลอกลวงพวกเขาด้วย
ดังนั้นวันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง
ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันของพวกเขานี้และการที่พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเขา
[7:52]
และแท้จริงนั้นเราได้นำคัมภีร์ฉบับหนึ่งมาให้แก่พวกเขาแล้ว
ซึ่งเราได้แจกแจงคัมภีร์นั้นด้วยความรอบรู้
ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อแนะนำ
และเป็นการเอ็นดูเมตตาแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา
[7:53]
เขาเหล่านั้นมิได้คอยอะไร
นอกจากผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์นั้นเท่านั้น
วันที่ผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์จะมานั้น
บรรดาผู้ที่ได้ลืมคัมภีร์มาก่อนจะกล่าวว่า
แท้จริงบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเราได้นำความจริงมาแล้ว
มีบรรดาผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเราบ้างไหม
ซึ่งพวกเขาจะได้ขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา
หรือไม่ก็ให้พวกเราถูกนำกลับไปใหม่
แล้วพวกเราก็จะได้ปฏิบัติอื่นจากที่พวกเราเคยปฏิบัติมา
แน่นอนพวกเขาได้ยังความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นนั้นได้หายหน้าจากพวกเขาไป
[7:54]
แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
คือ อัลลออฮืผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินภายในหกวัน
แล้วสถิตย์อยู่บนลังลังก์พระองค์ทรงให้กลางคืนครองคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว
และทรงสร้างดวงอาทิตย์
และดวงจันทร์
และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้กำหนดทำหน้าที่บริการ
ตามพระบัญชาของพระองค์
พึงรู้เถิดว่า
การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
มหาบริสุทธิ์อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:55]
พวกเจ้าจงวิงวอนต่อพระเตจ้าของพวกเจ้าในสภาพถ่อมตนและปกปิด
แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิด
[7:56]
และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน
หลังจากได้มีการปรับปรุงแกไขมันแล้วและจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรงและความปรารถนาอันแรงกล้า
แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
[7:57]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงส่งลงมาเป็นข่าวดีเบื้องหน้าความเอ็นดูเมตตาของพระองค์จนกระทั่งเมื่อมันได้แบกเมฆอันหนักอึ้งไว้
เราก็นำมันไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง
แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น
แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บรรดาผู้ที่ตายแล้วออกมา
หวังว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[7:58]
และเมืองที่ดีนั้นพืชของมันจะงอกออกมา
ด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของมัน
และเมืองที่ไม่ดีนั้นพืชของมันจะไม่ออกนอกจากในสภาพแกร็น
ในทำนองนั้นแหละ
เราจะแจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่ขอบคุณ
[7:59]
และแท้จริงเราได้ส่งนูฮ์ไปยังประชาชาติของเขา
แล้วเขาได้กล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉันจงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิดไม่มีผู้ได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน
[7:60]
บรรดาชนชั้นนำในหมู่ประชาชนของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเขาเห็นท่านอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[7:61]
เขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความหลงผิดใด
ๆ อยู่ที่ฉัน
แต่ทว่าฉัน
คือฑูตคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:62]
โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันจะชี้แจงและนำให้แก่พวกท่าน
และฉันรู้จากอัลลอฮ์สิ่งที่พวกท่านไม่รู้
[7:63]
และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่านเพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน
และเพื่อที่พวกท่านจะได้ยำเกรง
และเพื่อว่าพวกท่านจะได้รับการเอ็นดูเมตตา
[7:64]
แล้วพวกเขาได้ปฏิเสธนูฮ์
ภายหลังเรา
ได้ช่วยเขา
และบรรดาผู้ที่อยู่กับเขาในเรือให้รอดนั้น
และเราได้ให้บรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราจมน้ำ
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นกลุ่มชนที่มืดบอด
[7:65]
และยังประชาชาติอ๊าดนั้น
เราได้ส่งฮูด
ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไปเขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
พวกท่านไม่ยำเกรงดอกหรือ?
[7:66]
บรรดาชนชั้นนำที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่ประชาชาติของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเราเห็นท่านอยู่ในความโฉดเขลา
และแท้จริงพวกเราแน่ใจว่าท่านนั้นเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้มุสา
[7:67]
เขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความโฉดเขลาใด
ๆ อยู่ที่ฉัน
แต่ทว่าฉันคือร่อซู้ลคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:68]
โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันนั้นเป็นผู้แนะนำที่ซื่อตรงแก่พวกท่าน
[7:69]
และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน
เพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน
และพวกท่านจงรำลึกเถิด
ขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผุ้สืบช่วงแทน
มาหลังจากประชาชาติของนูฮ์
และได้ทรงเพิ่มพละกำลังแก่พวกท่านในการบังเกิด
ดังนั้นพวกท่านถึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[7:70]
พวกเขากล่าวว่า
ที่ท่านมหาพวกเรานั้น
เพื่อว่าเราจะได้เคารพสักการะอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว
และละทิ้งสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราะคยเคารพสักการะมากระนั้นหรือ? จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเรามายังพวกเราเถิดหากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง
[7:71]
เขากล่าวว่า
แน่นอนได้เกิดขึ้นแล้วแก่พวกท่าน
ซึ่งการลงโทษ
และความกริ้วโกรธจากระเจ้าของพวกท่าน
พวกท่านจะโต้เถียงฉันในบรรดาชื่อ
ที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งมันขึ้นมาเอง
โดยที่อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด
ๆ
มาสำหรับชื่อเหล่านั้น
กระนั้นหรือ? ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยเถิดแท้จริงฉันร่วมกับพวกท่านด้วยในหมู่ผู้รอคอย
[7:72]
แล้วเราได้ช่วยเขา
และบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับเขาให้รอดพ้น
ด้วยความเอ็นดูเมตตาจากเรา
แลเราได้ตัดขาด
ซึ่งคนสุดท้ายของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และมิเคยปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา
[7:73]
และยังประชาชาติซะมูตนั้น
เราได้ส่งซอและฮ์ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป
เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แน่นอนได้มีหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้วนี้คืออูฐตัวเมัยของอัลลอฮ์ในฐานะเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันกินในแผ่นดินของอัลลอฮ์เถิด
และจงอย่าแตะต้องมันด้วยการทำร้ายใด
ๆเลยจะเป็นเหตุให้การลงโทษอันเจ็บแสบคร่าพวกท่านเสีย
[7:74]
และพวกท่านจงรำลึกขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทนมาหลังจากชาวอ๊าด
และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น
โดยยึดเอาจากที่ราบอขงมันเป็นวัง
และสกัดภูเขาเป็นเป็น
พวกท่านพึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิด
และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย
[7:75]
บรรดาชั้นชั้นนำที่แสดงโอหังจากประชาชาติของเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอ
(กล่าวคือ)
แก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขากล่าว่าพวกท่านรู้กระนั้นหรือว่า
แท้จริงซอและฮ์นั้นเป็นผู้ถูกส่งมาจากพระเจ้าของเขา
พวกเขากล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นผู้ศรัทธาต่อสิ่งที่เขาถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
[7:76]
บรรดาผู้ที่แสดงโอหังกล่าวว่า
แท้จริงเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
ต่อสิ่งที่พวกท่านได้ศรัทธากัน
[7:77]
และพวกเขาก็ตัดขาดอูฐตัวเมียตัวนั้นและได้ละเมิดคำสั่ง
แห่งพระเจ้าของพวกเจ้า
และได้กล่าวว่าโอ้ซอและฮ์
! จงนำสิ่ง
ที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเราไว้มาให้แก่พวกเราเถิด
ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซู้ล
[7:78]
และความไวอย่างแรงของแผ่นดินก็ได้เคร่าพวกเขา
แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา
[7:79]
แล้วเขาก็หันออกไปจากพวกนั้น
และกล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน
แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว
ซึ่งสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านด้วย
แต่ทว่าพวกท่านไม่ชอบบรรดาผู้ชี้แจงแนะนำ
[7:80]
และจงรำลึกถึงลูฏขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า
ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ
ซึ่งๆม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้นหรือ?
[7:81]
แท้จริงพวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิงยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย
[7:82]
และคำตอบแห่งประชาชาติของเขานั้นมิปรากฏเป็นอื่นใด
นอกจากการที่พวกเขากล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกเขาออกไปจากเมืองของพวกท่านเสีย
แท้จริงพวกเขาเป็นพวกที่บริสุทธิ์
[7:83]
และเราได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขาให้รอดพ้น
นอกจากภรรยาของเขาเท่านั้น
ซึ่งนางปรากฏอยู่ในหมู่ที่คงอยู่
(เพื่อรับการลงโทษ)
[7:84]
และเราได้ให้ฝนตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้าจงดูเถิดว่า
ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็นอย่างไร?
[7:85]
และยังประชาชาติมัดยันนั้น
เราได้ส่งชุอัยบ์
ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป
เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะสำหรับพวกท่านอีแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านนั้นได้มายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งเถิด
และจงอย่าให้ขาดแก่เพื่อมนุษย์ซึ่งบรรดาสิ่งของของพวกเขา
หลังจากที่มีการแก้ไขมันแล้ว
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกท่านหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
[7:86]
และพวกท่านอย่านั่งในทุกหนทาง
โดยทำการขู่และสกัดกั้นให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ผู้ซึ่งศรัทธาต่อพระองค์
และพวกท่านยังปรารถนาให้ทางของอัลลอฮ์คต
และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่านมีจำนวนน้อย
แล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกท่านมีจำนวนมากขึ้น
และพวกท่านจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้นเป็นอย่างไร?
[7:87]
และถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกท่านศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
และอีกกลุ่มหนึ่งมิได้ศรัทธาแล้วก็จงอดทนไปเถิดจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงชี้ขาดระหว่างเรา
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย