Maryam
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[19:1]
กาฟ
ฮา ยา อัยน์
ศอด
[19:2]
(นี่คือ)
การกล่าวถึงเมตตาธรรมแห่งพระเจ้าของเจ้า
ที่มีต่อซะกะรียาบ่าวของพระองค์
[19:3]
เมื่อเขาวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา
ด้วยการวิงวอนอย่างค่อย
ๆ
[19:4]
เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
แท้จริงกระดูกของข้าพระองค์อ่อนแล้วและศีรษะก็มีประกายหงอกแล้ว
และมิเคยปรากฏเลยว่าการวิงวอนของข้าพระองค์ต่อพระองค์นั้นไร้ผล
โอ้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
[19:5]
และแท้จริงข้าพระองค์กลัวลูกหลานของข้าพระองค์
ภายหลัง
(การตายของ)
ข้าพระองค์และภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วย
ดังนั้นขอพระองค์ทรงโปรดประทานทายาที่ดีจากพระองค์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
[19:6]
ผู้ซึ่งจะสืบทายาทแทนข้าพระองค์
และสืบทายาทจากตระกูลของยะอ์กูบและขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาเป็นที่โปรดปรานด้วยเถิด
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
[19:7]
โอ้
ซะกะรียาเอ๋ย
!
แท้จริงเราจะแจ้งข่าวดีแก่เจ้าซึ่งลูกคนหนึ่ง
ชื่อของเขาคือยะห์ยาเรามิเคยตั้งชื่อผู้ใดมาก่อนเลย
[19:8]
เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมัน
และข้าพระองค์ได้บรรลุสู่ความแก่ชราแล้ว
!
[19:9]
เขา
(มลัก)
กล่าวว่า
กระนั้นก็ดี
พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสว่า
มันง่ายสำหรับข้า
และแน่นอนข้าได้บังเกิดเจ้ามาก่อน
เมื่อเจ้ายังมิได้เป็นสิ่งใด
[19:10]
เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้มีสัญญาณ
แก่ข้าพระองค์ด้วย
พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้าคืออย่าพูดกับผู้คนเป็นเวลาสามคืน
ทั้ง ๆ
ที่เจ้าอยู่ในสภาพที่สมบูณ์
[19:11]
แล้วเขาได้ออกจากแท่นสวดมายังหมู่ชนของเขา
และเขาได้ชี้ใบ้แก่พวกของเขาว่าพวกท่านจงกล่าวสดุดีในยามเช้าและยามเย็น
[19:12]
โอ้
ยะห์ยาเอ๋ย !
เจ้าจงยึดมั่นในคัมภีร์
(เตารอฮ์)
อย่างมั่นคง
และเราได้ประทานความเฉลียวฉลาดให้เขา
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่
[19:13]
และความน่าสงสารจากเรา
และความบริสุทธิ์แก่เขาและเขาเป็นผู้ยำเกรง
[19:14]
และเป็นผู้กระทำความดีต่อบิดามารดาของเขา
และเขามิได้เป็นผู้หยิ่งยะโส
ผู้ฝ่าฝืน
[19:15]
และความศานติจงมีแด่เขา
วันที่เขาถูกคลอด
และวันที่เขาตาย
และวันที่เขาถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่
[19:16]
และจงกล่าวถึง
(เรื่องของ)
มัรยัมที่อยู่ในคัมภีร์เมื่อนางได้ปลีกตัวออกจากหมู่ญาติของนาง
ไปยังมุมหนึ่งทางตะวันออก
(ของบัยตุลมักดิส)
[19:17]
แล้วนางได้ใช้ม่านกั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา
(ญิบรีล) ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง
ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์
[19:18]
นางกล่าวว่า
แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีให้พ้นจากท่าน
หากท่านเป็นผู้ยำเกรง
[19:19]
เขา
(ญิบรีล)
กล่าวว่า
แท้จริงฉันเป็นเพียงฑูตแห่งพระเจ้าของเธอ
เพื่อฉันจะให้ลูกชายผู้บริสุทธิ์แก่เธอ
[19:20]
นางกล่าวว่า
ฉันจะมีลูกได้อย่างไรทั้ง
ๆ
ที่ไม่มีชายใดมาแตะต้องฉันเลย
และฉันก็มิได้เป็นหญิงชั่ว
[19:21]
เขา
(ญิบรีล)
กล่าวว่า
กระนั้นก็เถิด
พระเจ้าของเธอตรัสว่า
มันง่ายสำหรับข้า
และเพื่อเราจะทำให้เขาเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์และเป็นความเมตตาจากเรา
และนั่นเป็นกิจการที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
[19:22]
แล้วนางได้ตั้งครรภ์
และนางได้ปลีกตัวออกไปพร้อมกับบุตรในครรภ์
ยังสถานที่ไกลแห่งหนึ่ง
[19:23]
ความเจ็บปวดใกล้คลอดทำให้นางหลบไปที่โคนตัวต้นอินทผาลัมนางได้กล่าวว่า
โอ้ ! หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้
และฉันเป็นคนไร้ค่าถูกลืมเสียก็จะดี
[19:24]
ดังนั้น
เขา (มะลัก)
ได้เรียกนางทางเบื้องล่างต้นอินทผลัมว่า
อย่าได้เศร้าเสียใจ
แน่นอน
พระเจ้าของเธอทรงจัดลำธารไว้เบื้องล่างเธอแล้ว
[19:25]
และจงเขย่าต้นอินทผลัม
ให้มันเอนมาทางตัวเธอ
มันจะหล่นลงมาที่ตัวเธอเป็นอินทผลัมที่สุกน่ากิน
[19:26]
ฉะนั้น
จงกิน จงดื่ม
และจงทำจิตใจให้เบิกบานเถิด
หากเธอเห็นมนุษย์คนใดก็จงกล่าวว่า
ฉันได้บนการสงบนิ่งไว้ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีฉันจะไม่พูดกับผู้ใดเลยวันนี้
[19:27]
แล้วนางใดพาเขามายังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามาพวกเขากล่าวว่า
โอ้
มัรยัมเอ๋ย !
แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว
[19:28]
โอ้
น้องหญิงของฮารูน
พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว
และแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์
[19:29]
นางชี้ไปทางเขา
พวกเขากล่าวว่า
เราจะพูดกับผู้ที่อยู่ในเปลที่เป็นเด็กได้อย่างไร?
[19:30]
เขา
(อีซา)
กล่าวว่า
แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮ์
พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนบี
[19:31]
และพระองค์ทรงให้ฉันได้รับความจำเริญ
ไม่ว่าฉันจะอยู่
ณ ที่ใด
และทรงสั่งเสียให้ฉันทำการละหมาดและจ่ายซะกาตตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่
[19:32]
และทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส
ผู้เลวทรามต่ำช้า
[19:33]
และความศานติจงมีแด่ฉัน
วันที่ฉันถูกคลอด
และวันที่ฉันตาย
และวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่
[19:34]
นั่นคืออีซาบุตรของมัรยัม
มันเป็นคำบอกเล่าที่จริง
ซึ่งพวกเขายังมีความสงสัยกันอยู่
[19:35]
ไม่เป็นการบังควรสำหรับอัลลอฮ์
ที่พระองค์จะทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร
มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน
!
เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด
พระองค์จะตรัสแก่มันว่า
จงเป็น
แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา
[19:36]
และแท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน
ดังนั้น
พวกท่านจงเคารพภักดีพระองค์เถิด
นี่คือทางอันเที่ยงตรง
[19:37]
คณะต่าง
ๆ ได้ขัดแย้งระหว่างกันเองดังนั้น
ความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
เมื่อมีการชุมนุมแห่งวันอันยิ่งใหญ่เถิด
[19:38]
พวกเขาจะได้ฟังอย่างชัดแจ้งและเห็นอย่างชัดอะไรอย่างนั้น
!
วันที่พวกเขาจะมาหาเรา
แต่วันนี้บรรดาผู้อธรรมอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง
[19:39]
และเจ้าจงเตือนสำทับพวกเขาถึงวันแห่งความเสียใจเมื่อกิจการนั้นถูกตัดสิน
และพวกเขาอยู่ในหลงลืม
และพวกเขาไม่ศรัทธา
[19:40]
แท้จริง
เราเป็นผู้ครอบครองมรดกแผ่นดินและที่อยู่บนแผ่นดิน
และพวกเขาจะถูกนำกลับมายังเรา
[19:41]
และจงกล่าวถึง
(เรื่องของ)
อิบรอฮีมที่อยู่ในคัมภีร์
แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์
เป็นนบี
[19:42]
และจงรำลึกถึงเมื่อเขากล่าวแก่บิดาของเขาว่า
โอ้พ่อจ๋า
ทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น
และไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านเลย
?
[19:43]
โอ้พ่อจ๋า
แท้จริงความรู้ได้มีมายังฉันแล้ว
ซึ่งมิได้มีมายังท่าน
ดังนั้น
จงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันเถิด
ฉันจะชี้แนะท่านสู่ทางที่ราบรื่น
[19:44]
โอ้พ่อจ๋า
!
อย่าเคารพบูชาชัยตอนเป็นอันขาด
แท้จริงชัยตอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19:45]
โอ้พ่อจ๋า
! แท้จริง
ฉันกลัวว่าการลงโทษจากพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะประสบแก่ท่านแล้วท่านก็จะเป็นสหายของชัยตอน
[19:46]
เขา
(บิดา)
กล่าวว่า
เจ้ารังเกียจพระเจ้าทั้งหลายของฉันกระนั้นหรือ
โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย
!
หากเจ้าไม่หยุดยั้ง
(จากการตำหนิ)
แน่นอนฉันจะขว้างเจ้า
(ด้วยก้อนหิน)
และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป
[19:47]
เขา
(อิบรอฮีม)
กล่าวว่า
ขอความศานติจงมีแด่ท่าน
ฉันจะขออภัยโทษจากพระเจ้าของฉันให้แก่ท่าน
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ฉันมาก
[19:48]
และฉันจะปลีกตัวออกจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์
และฉันจะวิงวอนขอพระเจ้าของฉันหวังว่าด้วยการวิวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน
จะไม่ทำให้ฉันได้รับความทุกข์
[19:49]
ครั้นเมื่อเขาปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพบุชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว
เราได้ให้แก่เขา
อิสหาก
และยะอ์กูบ
และแต่ละคนเราได้แต่งตั้งให้เป็นนบี
[19:50]
และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่พวกเขา
และเราได้ทำให้พวกเขาได้รับการกล่าวขวัญที่ดี
(ในหมู่มวลมนุษย์)
[19:51]
และจงกล่าวถึงเรื่องมูซาที่อยู่ในคัมภีร์แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับคัดเลือก
และเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี
[19:52]
และเราได้ร้องเรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาฎูร
และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
[19:53]
และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่เขาของภูเขาฎูร
และเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ
[19:54]
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิสมาอีลที่อยู่ในคัมภีร์
แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสัญญาและเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี
[19:55]
และเขาใช้หมู่ญาติของเขาให้ปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต
และเขาเป็นที่โปรดปราน
ณ ที่พระเจ้าของเขา
[19:56]
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์
แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์
เป็นนบี
[19:57]
และเราได้เทิดเกียรติเขาซึ่งตำแหน่งอันสูงส่ง
[19:58]
ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานพวกเขาให้เป็นนบีที่มีเชื้อสายจากอาดัม
และจากเชื้อสายผู้ที่เราบรรทุกไว้ในเรือกับนูห์
และจากเชื้อสายของอิบรอฮีม
และอิสรออีลและจากเชื้อสายผู้ที่เราได้ชี้แนะทางและเราได้คัดเลือกไว้
เมื่อบรรดาโองการของพระผู้ทรงกรุณาปรานีถูกอ่านแก่พวกเขา
พวกเขาจะก้มลงสุญูดและร้องให้
[19:59]
ภายหลังจากพวกเขาชนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมา
พวกเขาได้ทิ้งละหมาด
และปฏิบัติตามความใคร่
ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ
[19:60]
เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธา
และกระทำความดี
ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวนสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด
[19:61]
สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร
ซึ่งพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงสัญญาแก่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยความเร้นลับแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นจะมีมาอย่างแน่นอน
[19:62]
พวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งไร้สาระในนั้น
นอกจากคำทักทายที่เป็นศานติและสำหรับพวกเขาจะได้รับเครื่องยังชีพของพวกเขาในนั้น
ทั้งในยามเช้าและยามเย็น
[19:63]
นั่นคือสวนสวรรค์ซึ่งเราให้เป็นมรดกแก่ปวงบ่าวของเรา
ผู้ที่มีความยำเกรง
[19:64]
และเรา
(ญิบรีล)
มิได้ลงมา
เว้นแต่ด้วยพระบัญชาของพระเจ้าของท่านสำหรับพระองค์นั้น
สิ่งที่อยู่ระหว่างเบื้องหน้าของเราและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรา
และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองและพระเจ้าของท่านนั้นมิทรงหลงลืมสิ่งใดเลย
[19:65]
พระเจ้าแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง
ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์
และจงอดทนต่อการเคารพภักดีพระองค์สูเจ้ารู้หรือว่ามีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์
?
[19:66]
และมนุษย์
(กาฟิร)
กล่าวว่า
เมื่อฉันตายไปแล้ว
ฉันจะถูกให้ออกมาในสภาพมีชีวิตจริงหรือ
?
[19:67]
มนุษย์ไม่คิดบ้างหรือว่า
แท้จริงเราได้บังเกิดเขามาแต่กาลก่อน
โดยที่เขามิได้เป็นสิ่งใดมาก่อนเลย
[19:68]
ดังนั้นด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าแน่นอนเราจะชุมนุมพวกเขาพร้อมด้วยบรรดาชัยตอนแล้วเราจะนำพวกเขาให้มาคุกเข่าอยู่รอบ
ๆ นรก
[19:69]
แล้วแน่นอนที่สุดเราจะดึงออกจากทุก
ๆ คณะ
ใครในหมู่พวกเขาที่ดื้อรั้นที่สุดต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19:70]
แล้วแน่นอนที่สุด
เรารู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่เหมาะสมยิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในนรก
[19:71]
และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้า
นอกจากจะเป็นผู้ผ่านเข้าไปในมันมันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วสำหรับพระเจ้าของเจ้า
[19:72]
แล้วเราจะให้บรรดาผู้ยำเกรงรอดพ้นแล้วเราจะปล่อยให้บรรดาผู้อธรรมคุกเข่าอยู่ในนั้น
[19:73]
และเมื่อโองการทั้งกลายอันแจ่มแจ้งของเรา
ถูกอ่นขึ้นแก่พวกเขา
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า
ฝ่ายใดในสองฝ่ายนี้จะมีฐานะดีกว่า
และมีเกียรติทางสังคมมากกว่า
?
[19:74]
และกี่มากน้อยแล้วประชาชาติก่อนพวกเขาเราได้ทำลายพวกเขา
โดยที่พวกเขามีสิ่งของ
เครื่องใช้และรูปร่างลักษณะดีกว่า
[19:75]
จงกล่าวเถิด
ผู้ที่อยู่ในความหลงผิดนั้น
พระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงผ่อนผันให้เขาระยะหนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ว่า
จะเป็นการลงโทษในโลกนี้หรือจะเป็นการลงโทษในปรโลกแล้วพวกเขาก็จะรู้ว่าใครจะมีฐานะชั่วร้ายกว่าและมีกำลังพลน้อยกว่า
[19:76]
และอัลลอฮ์จะทรงเพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่ผู้ที่อยู่ในแนวทางนั้นและการงานที่ดีที่ยั่งยืนนั้นดียิ่ง
ณ ที่พระเจ้าของเจ้า
ในการตอบแทนรางวัล
และดียิ่งในการกลับ
(ไปสู่พระองค์)
[19:77]
เจ้าเห็นหรือไม่ว่า
ผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
แล้วเขากล่าวอ้างว่า
ฉันจะได้รับทรัพย์สมบัติและลูกหลานนั้น
[19:78]
เขาล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับหรือว่าเขาได้รับคำมั่นสัญญา
จากพระผู้ทรงกรุณาปรานี
?
[19:79]
เปล่าเลย
!
เราจะบันทึกสิ่งที่เขากล่าวและเราจะเพิ่มการลงโทษแก่เขาอีกระยะหนึ่ง
[19:80]
และเราจะรับช่วงจากเขาสิ่งที่เขากล่าวไว้และเขาจะมาหาเราอย่างโดดเดี่ยว
[19:81]
และพวกเขาได้ยึดเอารูปปั้นต่าง
ๆ เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์
เพื่อที่จะเป็นพลังอำนาจแก่พวกเขา
[19:82]
เปล่าเลย
!
รูปปั้นเหล่านั้นจะปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา
และพวกมันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
[19:83]
เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า
แท้จริงเราได้ปล่อยให้ชัยตอนมีอำนาจเหนือพวกที่ปฏิเสธศรัทธาเพื่อมันจะได้ยุแหย่พวกเขาอย่างจริงจัง
[19:84]
ดังนั้น
เจ้าอย่าได้เร่งร้อนต่อพวกเขาแท้จริงเราได้นับวันที่เหลือสำหรับพวกเขาไว้แล้วด้วยการนับที่แน่นอน
[19:85]
วันที่เราจะรวมบรรดาผู้ยำเกรง
ให้มาชุมนุมต่อหน้าพระผู้ทรงกรุณาปรานีเป็นกลุ่ม
ๆ
[19:86]
และเราจะไล่ต้อนบรรดาผู้มีความผิดไปยังนรก
อย่างสัตว์ที่กระหายน้ำเป็นฝูง
ๆ
[19:87]
พวกเขาไม่มีอำนาจในการชะฟาอะฮ์นอกจากผู้ที่ได้ทำสัญญาไว้กับพระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19:88]
และพวกเขากล่าวว่าพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงตั้งพระบุตรขึ้นเพื่อพระองค์
[19:89]
แน่นอนที่สุด
พวกเจ้าได้นำมาซึ่งสิ่งร้ายแรงยิ่งใหญ่
[19:90]
ชั้นฟ้าทั้งหลายแทบจะพังทลายลงมาและแผ่นดินก็แทบจะถล่มลึกลงไป
และขุนเขาทั้งหลายก็แทบจะยุบทลายลงมาเป็นเสี่ยง
ๆ
[19:91]
ที่พวกเขาอ้างพระบุตรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี
[19:92]
และไม่เป็นการบังควรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี
ที่พระองค์จะทรงตั้งพระบุตรขึ้น
[19:93]
ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเว้นแต่เขาจะมายังพระผู้ทรงกรุณาปรานีในฐานะบ่าวคนหนึ่ง
[19:94]
แน่นอนที่สุด
พระองค์ทรงรอบรู้ถึงพวกเขาและทรงนับพวกเขาอย่างถี่ถ้วนไว้แล้ว
[19:95]
และทุกคนในพวกเขาจะมายังพระองค์ในวันกิยามะฮ์อย่างโดดเดี่ยว
[19:96]
แท้จริง
บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณงามความดีทั้งหลายนั้น
พระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงโปรดปรานความรักใคร่แก่พวกเขา
[19:97]
แท้จริง
เราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นภาษาที่ง่ายแก่เจ้าเพื่อว่าเจ้าจะได้นำมันไปแจ้งเป็นข่าวดีแก่บรรดาผู้ยำเกรง
และเจ้าจะได้นำมันไปตักเตือนหมู่ชนที่ดื้อรั้น
[19:98]
และกี่มากน้อยแล้วจากประชาชาติในอดีต
เราได้ทำลายพวกเขา
เจ้าได้เห็นผู้ใดในหมู่พวกเขาหรือได้ยินเสียงกระซิบของพวกเขาบ้างไหม
?