An-Nisâ’
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[4:1]
มนุษยชาติทั้งหลาย
!
จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง
และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา
และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น
ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย
และจงยำเกรงอัลลอฮ์ที่พวกเจ้าต่างขอกัน
ด้วยพระองค์
และพึงรักษาเครือญาติ
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ
[4:2]
และจงให้แก่บรรดาเด็กกำพร้า
ซึ่งทรัพย์สมบัติของพวกเขา
และจงอย่าเปลี่ยนเอาของเลว
ด้วยของดี
และจงอย่ากินทรัพย์ของพวกเขาร่วมกับทรัพย์ของพวกเจ้า
แท้จริงมันเป็นบาปอันยิ่งใหญ่
[4:3]
และหากพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในบรรดาเด็กกำพร้าได้
ก็จงแต่งงานกับผู้ที่ดีแก่พวกเจ้า
ในหมู่สตรี
สองคน
หรือสามคน
หรือสี่คน
แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าพวกเจ้าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้
ก็จงมีแต่หญิงเดียว
หรือไม่ก็หญิงที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครองอยู่
นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ยิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง
[4:4]
และจงให้แก่บรรดาหญิงซึ่งมะฮัรของนาง
ด้วยความเต็มใจ
แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเจ้าจากมะฮัรนั้นแล้ว
ก็จงบริโภคสิ่งนั้นด้วยความเอร็ดอร่อยและโอชา
[4:5]
และจงอย่าให้แก่บรรดาผู้ที่โง่เขลา
ซึ่งทรัพย์ของพวกเจ้า
ที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นสิ่งค้ำจุนแก่พวกเจ้า
และจงให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาในทรัพย์นั้น
และจงกล่าววาจาแก่พวกเขาอย่างดี
[4:6]
และจงทดสอบบรรดาเด็กกำพร้าดู
จนกระทั่งพวกเขาบรรลุวัยสมรส
ถ้าพวกเจ้าเห็นว่าในหมู่พวกเขานั้นมีไหวพริบรู้ผิดรู้ถูกแล้ว
ก็จงมอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไป
และจงอย่ากินทรัพย์นั้นโดยฟุ่มเฟือย
และรีบเร่ง
ก่อนที่พวกเขาจะเติบโต
และผู้ใดเป็นผู้มั่งมีก็จงงดเว้นเสีย
และผู้ใดเป็นผู้ยากจนก็จงกินโดยชอบธรรม
ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้มอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไปแล้ว
ก็จงให้มีพยานยืนยันแก่พวกเขา
และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสอบสวน
[4:7]
สำหรับบรรดาชายนั้น
มีส่วนได้รับจากสิ่งที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง
และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้
และสำหรับบรรดาหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและบรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้
ซึ่งสิ่งนั้นจะน้อยหรือมากก็ตาม
เป็นส่วนได้รับที่ถูกำหนดอัตราส่วนไว้
[4:8]
และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดและบรรดาเด็กกำพร้า
และบรรดาผู้ที่ขัดสนมาร่วมอยู่ด้วยในการแบ่งมรดก
ก็จงปันส่วนหนึ่งจากสิ่งนั้น
ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา
และจงกล่าวแก่พวกเขาอย่างดี
[4:9]
และพึงวิตกเถิด
บรรดาผู้ที่หากพวกเขาละทิ้งลูกๆ
ที่ยังอ่อนแออยู่ไว้เบื้องหลังของพวกเขา
ซึ่งพวกเขากลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ลูก
ๆ
ของพวกเขานั้น
พวกเขาจงเกรงกลัวอัลลอฮ์เถิด
และจงกล่าววาจาอย่างเที่ยงตรง
[4:10]
แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยความอธรรมนั้น
แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหากและพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง
[4:11]
อัลลอฮ์ได้ทรงสั่งพวกเจ้าไว้ในลูก
ๆของพวกเจ้าว่า
สำหรับเพศชายนั้นจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของเพศหญิงสองคน
แต่ถ้าลูกๆ
เป็นหญิงเกินกว่าสองคน
พวกนางก็จะได้สองในสามของสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้
และถ้าลูกเป็นหญิงคนเดียวนางก็จะได้ครึ่งหนึ่ง
และสำหรับบิดาและมารดาของเขานั้น
แต่ละคนในทั้งสองนั้นจะได้หนึ่งในหกจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้หากเขามีบุตร
แต่ถ้าเขาไม่มีบุตรและมีบิดามารดาของเขาเท่านั้นที่รับมรดกของเขาแล้ว
มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในสาม
ถ้าเขามีพี่น้องหลายคน
มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในหกทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สินบรรดาบิดาของพวกเจ้าและลูก
ๆ ของพวกเจ้านั้น
พวกเจ้าไม่รู้ดอกว่าฝ่ายไหนในพวกเขานั้นเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์แก่พวกเจ้าใกล้กว่ากัน
ทั้งนี้เป็นบัญญัติที่มาจากอัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:12]
และสำหรับพวกเจ้านั้น
จะได้รับครึ่งหนึ่งของสิ่งที่บรรดาภรรยาของพวกเจ้าได้ทิ้งไว้
หากมิได้ปรากฏว่าพวกนางมีบุตร
แต้ถ้าพวกนางมีบุตรพวกเจ้าก็จะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกนางได้สั่งเสียมันไว้
หรือหลังจากหนี้สิน
และสำหรับพวกนางนั้นจะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้
หากมิปรากฏว่าพวกเจ้ามีบุตร
พวกนางก็จะได้รับหนึ่งในแปดจากสิ่งที่พวกเจ้าทิ้งไว้
ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่พวกเจ้าสั่งเสียมันไว้
หรือหลังจากหนี้สิน
และถ้ามีชายคนหนึ่งหรือหญิงคนหนึ่งถูกรับมรดกในฐานะเป็นผู้ที่ไม่มีบิดาและบุตร
แต่เขามีพี่ชายหรือน้องชายคนหนึ่ง
หรือมีพี่สาวหรือน้องสาวคนหนึ่งแล้ว
แต่ละคนจากสองคนนั้นจะได้รับหนึ่งในหก
แต่ถ้าพี่น้องของเขามีมากกว่านั้น
พวกเขาก็เป็นผู้รับร่วมกันในหนึ่งในสาม
ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่ถูกสั่งเสียไว้หรือหลังจากหนี้สินโดยมิใช่สิ่งที่นำมาซึ่งผลร้ายใด
ๆ เป็นคำสั่งที่มาจากอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงหนักแน่น
[4:13]
เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮ์
และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์แล้ว
พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
[4:14]
และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์
และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้
พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก
โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้
(แก่เขา)
[4:15]
และบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งลามก
จากในหมู่สตรีของพวกเจ้านั้น
จงให้มีพยานสี่คนของพวกเจ้ายืนยันนางเหล่านั้น
ถ้าพวกเขายืนยันแล้ว
ก็จงกักขังนางเหล่านั้นไว้ในบ้าน
จนกว่าความตายจะพรากพวกนาง
หรือไม่ก็จะทรงให้มีทางหนึ่งสำหรับพวกนาง
[4:16]
และชายสองคนในหมู่ของพวกเจ้าที่กระทำการลามก
นั้น
พวกเจ้าจงลงโทษเขาเสียทั้งสองคน
หากทั้งสองสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวและปรับปรุงแก้ไขแล้ว
ก็จงระงับการลงโทษเขาทั้งสองเสีย
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:17]
แท้จริงการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวที่อัลลอฮ์จะทรงรับนั้นคือสำหรับบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นแล้วพวกเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวในเวลาอันใกล้
ชนเหล่านี้และอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:18]
การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว
(ที่อัลลอฮ์จะทรงรับ)
นั้นมิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วต่างๆ
จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเขาแล้วเขาก็กล่าวว่า
บัดนี้แหละข้าพระองค์ขอสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว
และก็มิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่ตาย
ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย
ชนเหล่านี้เราได้เตรียมไว้แล้วสำหรับพวกเขาซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ
[4:19]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ
และไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง
นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก
อันชัดแจ้งเท่านั้น
และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี
หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง
ก็อาจเป็นไปได้ว่า
การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น
ซึ่งความดีอันมากมาย
[4:20]
และหากพวกเจ้าต้องการเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง
และพวกเจ้าได้ให้แก่นางหนึ่งในหมู่นางเหล่านั้น
ซึ่งทรัพย์อันมากมายก็ตาม
ก็จงอย่าได้เอาสิ่งใดจากทรัพย์นั้นคืน
พวกเจ้าจะเอามันคืนด้วยการอุปโลกน์ความเท็จและการกระทำบาปอันชัดเจนกระนั้นหรือ
[4:21]
และพวกเจ้าจะเอามันคืนได้อย่างไรทั้งๆ
ที่บางคนของพวกเจ้าได้แนบกายกับอีกบางคนแล้วและพวกนางก็ได้เอาคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วย
[4:22]
และจงอย่าแต่งงานกับบรรดาหญิงที่บิดาของพวกเจ้าได้แต่งงานมาแล้ว
นอกจากที่ได้ผ่านพ้นมาเท่านั้นแท้จริงมันเป็นสิ่งลามกและน่าเกลียดยิ่ง
และเป็นวิถีทางที่ชั่ว
[4:23]
ที่ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้านั้น
คือมารดาของพวกเจ้า
ลูกหญิงของพวกเจ้า
พี่น้องหญิงของพวกเจ้า
พี่น้องหญิงแห่งบิดาของพวกเจ้าและพี่น้องหญิงแห่งมารดาของพวกเจ้า
บุตรหญิงของพี่หรือน้องชายของพวกเจ้าบุตรหญิงของพี่หรือน้องหญิงของพวกเจ้า
และมารดาของพวกเจ้าที่ให้นมแก่พวกเจ้าและพี่น้องหญิงของพวกเจ้าเนื่องจากการดื่มนม
และมารดาภรรยาของพวกเจ้าแลลูกเลี้ยงของพวกเจ้าที่อยู่ในตักของพวกเจ้า
จากภรรยาของพวกเจ้าที่พวกเจ้ามิได้สมสู่นาง
แต่ถ้าพวกเจ้ามิได้สมสู่นางแล้ว
ก็ไม่มีบาปใด
ๆ
แก่พวกเจ้าและภรรยาของบุตรพวกเจ้าที่มาจากเชื้อสายของพวกเจ้า
และการที่พวกเจ้ารวมระหว่างหญิงสองพี่น้องไว้ด้วยกัน
นอกจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยผู้เมตตาเสมอ
[4:24]
และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามีนอกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง
เป็นบัญญัติของอัลลอฮ์ที่มีแก่พวกเจ้า
และได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเจ้าที่นอกเหนือจากนั้นในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพสกเจ้า
ในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี
ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น
ก็จงให้แก่พวกนาง
ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง
ตามที่มีกำหนดไว้และไม่เป็นบาปใด
ๆแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น
หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:25]
และผู้ใดในหมู่พวกเต้าไม่สามารถมีกำลังที่จะแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระที่มีศรัทธาได้ก็จงแต่งงานกับเด็กสาวของพวกเจ้าที่เป็นผู้ศรัทธาในหมู่ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่งที่ในการศรัทธาของพวกเจ้าบางคนในหมู่พวกเจ้านั้นมาจากอีกบางคน
ดังนั้นจงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้เป็นนายของพวกนาง
และจงให้แก่พวกนางซึ่งสินตอบแทนของพวกนางโดยชอบธรรม
ในฐานะที่พวกนางเป้นหญิงที่ได้รับการแต่งงานมิใช่เป็นหญิงที่ค้าประเวณี
และไม่ใช่หญิงที่ยึดเอาชายเป็นเพื่อนสนิทเมื่อพวกนางได้รับการแต่งงานแล้ว
หากพวกนางกระทำความชั่วพวกนางก็จะได้รับโทษครึ่งหนึ่งของโทษที่บรรดาหญิงอิสระได้รับ
นั่นสำหรับผู้ในหมู่พวกเจ้าที่กลัวการทำชั่ว
และการที่พวกเจ้าอดกลั้นไว้ได้นั้น
เป็นการดีกว่าสำหรับพวกเจ้า
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:26]
อัลลอฮ์
ทรงปรารถนาที่จะแจกแจงแก่พวกเจ้า
และแนะนำพวกเจ้าซึ่งแนวทางต่างๆ
ของบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้า
และจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้และเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:27]
และอัลลอฮ์
ทรงปรารถนาที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า
และบรรดาผู้ที่ปิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำนั้นปรารถนาที่จะให้พวกเจ้าเอนเอียงออกไปอย่างมากมาย
[4:28]
อัลลอฮ์
ทรงปรารถนาที่จะผ่อนผันให้แก่พวกเจ้า
และมนุษย์นั้นถูกบังเกิดขึ้นในสภาพที่อ่อนแอ
[4:29]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่ากินทรัพย์ของพวกเจ้า
ในระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ
นอกจากมันจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่พวกเจ้า
และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ
[4:30]
และผู้ใดที่กระทำเช่นนั้นโดยเจตนาละเมิดและข่มเหงแล้ว
เราก็จะให้เขาเข้าไฟนรกและนั่นเป็นสิ่งที่ง่ายดายแก่อัลลอฮ์
[4:31]
หากพวกเจ้าปลีกตัวออกจากบรรดาบาปใหญ่
ๆ ของสิ่งที่พวกเจ้าถูกห้ามให้ละเว้นมันแล้ว
เราก็จะลบล้างบรรดาความผิดเล็ก
ๆ น้อย ๆ
ของพวกเจ้า
ออกจากพวกเจ้า
และเราจะให้พวกเจ้าเข้าอยู่ในสถานที่อันมีเกียรติ
[4:32]
และจงอย่าปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้แก่บางคนในหมู่พวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคน
สำหรับผู้ชายนั้นมีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้
และสำหรับหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกนางได้ขวนขวายไว้
และพวกเจ้าจงขอต่ออัลลอฮ์เถิด
จากความกรุณาของพระองค์แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง
[4:33]
และสำหรับแต่ละคนนั้น
เราได้ให้มีผู้รับมรดก
จากสิ่งที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง
และญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้
และบรรดาผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าได้ตกลงไว้นั้น
ก็จงให้แก่พวกเขาซึ่งส่วนได้ของพวกเขา
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นพยานในทุกสิ่งทุกอย่าง
[4:34]
บรรดาชายนั้น
คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง
เนื่องด้วยการที่อัลลอฮ์
ได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคนและด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขาบรรดากุลสตรีนั้นคือผู้จงรักภักดี
ผู้รักษาในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ลับหลบังสามี
เนื่องด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงรักษาไว้
และบรรดาหญิงที่พวกเจ้าหวั่นเกรงในความดื้อดึงของนางนั้น
ก็จงกล่าวตักเตือนนางและทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังในที่นอน
และจงเฆี่ยนนางแต่ถ้านางเชื่อฟังพวกเจ้าแล้ว
ก็จงอย่าหาทางเอาเรื่องแก่นาง
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร
[4:35]
และหากพวกเจ้าหวั่นเกรงการแตกแยกระหว่างเขาทั้งสอง
ก็จงส่งผู้ตัดสินคนหนึ่งจากครอบครัวของฝ่ายชาย
และผู้ตัดสินอีกคนหนึ่งจากครอบครัวฝ่ายหญิง
หากทั้งสองปรารถนาให้มีการประนีประนอมกันแล้ว
อัลลอฮ์ก็จะทรงให้ความสำเร็จในระหว่างทั้งสอง
แม้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงสัพพัญญู
[4:36]
และจงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
และอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและต่อผู้เป็นญาติที่ใกล้ชิด
และเด็กกำพร้าและผู้ขัดสน
และเพื่อนบ้านใกล้เคียงและเพื่อนที่ห่างไกล
และเพื่อนเคียงข้าง
และผู้เดินทาง
และผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง
แท้จริงอัลลอฮ์
ไม่ทรงชอบผู้ยะโส
ผู้โอ้อวด
[4:37]
บรรดาผู้ที่ตระหนี่
และใช้ผู้คนให้ตระหนี่
และปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขา
จากความกรุณาของพระองค์นั้น
(แน่นอนพวกเขาจะอยู่ในนรกตลอดกาล)
และเราได้เตรียมไว้แล้ว
ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศ
แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[4:38]
และบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์ของพวกเขา
เพื่อโอ้อวดผู้คน
และทั้งพวกเขาก็ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และไม่ศรัทธาต่อวันปรโลกนั้น
(แน่นอนพวกเขาจะอยู่ในนรกตลอดกาล)
และผู้ใดที่มีชัยฏอนเป็นเพื่อนของเขาแล้ว
มันก็เป็นเพื่อนที่เลว
[4:39]
และอะไรจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา
หากพวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และวันปรโลก
และได้บริจาคส่วนหนึ่งจากสิ่งที่อัลลอฮ์
ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา
และอัลลอฮ์
ทรงรอบรู้ในพวกเขาดี
[4:40]
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอธรรมแม้เพียงน้ำหนักเท่าผงธุลี
และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด
พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความดีนั้นเป็นทาวีคูณและทรงประทานให้จากที่พระองค์ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
[4:41]
แล้วอย่างไรเล่า
เมื่อเรานำพยานคนหนึ่งจากแต่ละประชาชาติมา
และเราได้นำเจ้ามาเป็นพยานต่อชนเหล่านี้
[4:42]
ในวันนั้น
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและดื้อดึงต่อร่อซู้ลชอบ
หากว่าแผ่นดินถูกให้ทับถมพวกเขาจนราบเรียบไป
และพวกเขาไม่สามารถจะปิดบังคำพูดใด
ๆ
แก่อัลลอฮ์ได้
[4:43]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าเข้าใกล้การละหมาด
ขณะที่พวกเจ้ากำลังมันเมาอยู่
จนกว่าพวกเจ้าจะรู้
สิ่งที่พวกเจ้าพูดและก็จงอย่าเข้าใกล้การละหมาด
ขณะที่เป็นผู้มีญะนาบะฮ์
นอกจากผู้ที่ผ่านทางไปเท่านั้น
จนกว่าพวกเจ้าจะอาบน้ำและหากพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง
หรือคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้ามาจากที่ถ่ายทุกข์
หรือพวกเจ้าสัมผัสผู้หญิง
แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำ
ก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี
แล้วจงลูบใบหน้าของพวกเจ้าและมือของพวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย
ผู้ทรงยกโทษเสมอ
[4:44]
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ? โดยที่เขาเหล่านั้นกำลังซื้อความหลงผิดไว้
และต้องการที่จะให้พวกเจ้าหลงทาง
[4:45]
และอัลลอฮ์
ทรงรู้ดียิ่งต่อบรรดาศัตรูของพวกเจ้า
และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์
ทรงเป็นผู้คุ้มครอง
และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์
ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ
[4:46]
จากบางคนในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น
พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้เหออกจากที่ของมัน
และพวกเขากล่าวว่า
เราได้ยินกันแล้วและเราก็ได้ฝ่าฝืนกันแล้ว
และท่านจงฟังโดยที่มิใช่เป็นผู้ได้ยิน
และจงสดับฟังเราโดยบิดลิ้นของพวกเขาและใส่ร้ายในศาสนา
และหากว่าพวกเขากล่าวว่า
เราได้ยินกันแล้ว
และได้เชื่อฟังกันแล้ว
และท่านจงฟัง
และมองดูเราเถิด
ก็จะเป็นสิ่งดีกว่าแก่พวกเขา
และเที่ยงตรงกว่า
แต่ทว่าอัลลอฮ์ได้ทรงละอนัต
พวกเขาเสียแล้ว
เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธากัน
นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[4:47]
บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย
!
จงศรัทธาต่อสิ่งที่เราได้ให้ลงมาเพื่อยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าเถิด
ก่อนจากที่เราจะลบใบหน้าของพวกเขาแล้วให้มันกลับไปอยู่ข้างหลังของมัน
หรือไม่ก็จะสาปพวกเขาเช่นเดียวกับที่เราได้สาปบรรดาผู้ที่ทำการละเมิดในวันสับบะโต
และคำสั่งของอัลลอฮ์นั้นย่อมถูกปฏิบัติตามเสมอ
[4:48]
แท้จริงอัลลอฮ์
จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคี
ขึ้นแก่พระองค์และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮ์แล้วแน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวงขึ้น
[4:49]
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ดอกหรือ
?มิได้อัลลอฮ์ต่างหากที่จะให้บริสุทธิ์ซึ่งผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแม้เพียงขนาดร่องเมล็ดอินทผาลัม
[4:50]
จงดูเถิดว่า
อย่างไรเล่า
ที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์และพอเพียงแล้วที่ความเท็จนั้นเป็นบาปอันชัดแจ้ง
[4:51]
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์ดอกหรือ
โดยที่พวกเขาศรัทธาต่ออัลญิบติ
และอัฏ-ฏอฆูต
และกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
ว่า
พวกเขาเหล่านี้แหละเป็นผู้อยู่ในทางที่เที่ยงตรงกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[4:52]
ชนเหล่านี้คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงละอนัต
แก่พวกเขา
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงละอนัตแก่พวกเขาแล้ว
เจ้าจะไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือใด
ๆ
สำหรับเขาเลย
[4:53]
หรือว่าพวกเขามีส่วนได้ใด
ๆ จากอำนาจ ถ้าเช่นนั้นแล้ว
พวกเขาก็จะไม่ให้แก่คนอื่น
แม้เพียงจุดบนเมล็ดอินทผาลัม
[4:54]
หรือว่าพวกเขาอิจฉาคนอื่น
ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา
จากความกรุณาของพระองค์
แท้จริงนั้นพระองค์ได้ประทานให้แก่วงศ์วานของอิบรอฮีมมาแล้วซึ่งคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับศาสนา
และได้ทรงให้แก่พวกเขาซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่
[4:55]
แล้วในหมู่พวกเขามีผู้ศรัทธาต่อเขาและในหมู่พวกเขามีผู้ที่ขัดขวางเขา
และเพียงพอแล้วที่ญะฮันนัมเป็นเปลวเพลิงอันโชติช่วง
[4:56]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรานั้น
เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก
คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุกเราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งมิใช่ผิวหนังเดิม
เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ
แท้จริงอัลลอฮ์
เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:57]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธา
และประกอบสิ่งดีงามทั้งหลายนั้น
เราจะให้พวกเขาเข้าในบรรดาสวนสวรรค์
ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้สวนสวรรค์เหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
ซึ่งในนั้นพวกเขาจะได้รับคู่ครองที่บริสุทธิ์และเราจะให้เขาเข้าอยู่ในเงาร่มอันร่มเย็น
[4:58]
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน
และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน
พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแนะนำพวกเจ้าด้วยสิ่งซึ่งดีจริง
ๆ
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินและได้เห็น
[4:59]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
!
จงเชื่อฟังอัลลอฮ์
และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด
และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย
แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด
ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์
และร่อซู้ล
หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป
ที่สวยยิ่ง
[4:60]
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่อ้างตนว่าพวกเขาศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าและสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้าดอกหรือ
? โดยที่เขาเหล่านั้นต้องการที่จะให้การแก่อัฏฏอฆูต
ทั้ง ๆ
ที่พวกเขาถูกใช้ให้ปฏิเสธมันและชัยฏอนนั้นต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางที่ห่างไกล
[4:61]
และเมื่อถูกล่าวแก่พวกเขาว่า
ท่านทั้งหลายจงมายังสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมา
และยังร่อซู้ลเถิด
เจ้าก็ได้เห็นพวกมุนาฟิก
เหล่านั้นผินหลังให้แก่เจ้าจริง
ๆ
[4:62]
แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
เมื่อมีเหตุร้ายใด
ๆ
ประสบแก่พวกเขา
เนื่องจากสิ่งที่มือของพวกเขาได้ประกอบขึ้น
แล้วพวกเขาก็มาหาเจ้าโดยสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า
พวกเรามิได้ต้องการนอกจากการทำดีและให้มีการปรองดองกันเท่านั้น
[4:63]
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่อัลลอฮ์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา
ดังนั้นเจ้าจงผินหลังให้แก่พวกเขา
และจงตักเตือนพวกเขาและจงกล่าวแก่พวกเขาในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของพวกเขาอย่างสาแก่ใจ
[4:64]
และเรามิได้ส่งร่อซู้ลคนใดมานอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น
และแม้ว่าพวกเขานั้นขณะที่พวกเขาอธรรมแก่ตัวเอง
ได้มาหาเจ้า
แล้วขออภัยโทษต่ออัลออฮ์และร่อซู้ลก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้วแน่นอน
พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:65]
มิใช่เช่นนั้นดอก
ข้าขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้าว่า
เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะให้เจ้าตัดสินในสิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาแล้วพวกเขาไม่พบความ
คับใจใด ๆ
ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้าได้ตัดสินใจ
และพวกเขายอมจำนนด้วยดี
[4:66]
และแม้นว่าเราได้กำหนดแก่พวกเขาว่าพวกเจ้าจงฆ่าตัวของพวกเจ้าเองหรือจงออกไปจากหมู่บ้านของพวกเจ้า
พวกเขาก็ไม่กระทำตามกำหนดนั้น
นอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น
และแม้ว่าพวกเขาได้กระทำตามสิ่งที่พวกเขาได้รับคำแนะนำแล้ว
แน่นอนก็เป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเขา
และเป็นสี่งที่ทำให้มั่นคงยิ่ง
[4:67]
และถ้าเช่นนั้นแล้ว
แน่นอนเราก็จะให้แก่พวกเขา
ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวงจากที่เรานี้เอง
[4:68]
และแน่นอน
เราก็จะแนะนำแก่พวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรง
[4:69]
และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮ์
และร่อซู้ลแล้วชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา
อันได้แก่บรรดานบี
บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี
บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม
และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี
และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี
[4:70]
ความกรุณาดังกล่าวนั้นมาจากอัลลอฮ์และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้
[4:71]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
!
จงยึดถือไว้ซึ่งความระมัดระวังของพวกเจ้า
แล้วจงออกไปเป็นกลุ่ม
ๆ
หรืออกไปโดยรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน
[4:72]
และแท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้นมีผู้ที่ทำชักช้าอยู่
หากมีเหตุร้ายใด
ประสบแก่พวกเจ้า
เขาก็กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงกรุณาแก่ฉัน
ที่ฉันมิได้ร่วมอยู่กับพวกเขา
[4:73]
และถ้าหากว่ามีความกรุณาใด
ๆ จากอัลลอฮ์ได้ประสบกับพวกเจ้าแล้ว
แน่นอนเขาก็จะกล่าวประหนึ่งไม่เคยมีความชอบพอใดๆ
เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้ากับเขาว่า
โอ้หวังว่าฉันได้ร่วมอยู่กับพวกเขา
แล้วฉันก็จะได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
[4:74]
จงสู้รบในทางของอัลลอฮ์เถิด
บรรดาผู้ขายชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ด้วยปรโลก
และผู้ใดสู้รบในทางของอัลลอฮ์
และเขาถูกฆ่าหรือได้รับชัยชนะเราจะให้รางวัลอันใหญ่หลวงแก่เรา
[4:75]
มีเหตุใดเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเจ้าไม่สู้รบในทางของอัลลอฮ์
ทั้ง
ๆที่บรรดาผู้อ่อนแอ
ไม่ว่าชายและหญิง
และเด็ก ๆ
ต่างกล่าวกันว่า
โอ้พระเจ้าของเรา
! โปรดนำพวกเราออกไปจากเมืองนี้
ซึ่งชาวเมืองเป็นผู้ข่มเหงรังแก
และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้คุ้มครองคนหนึ่งจากที่พระองค์และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งจากที่พระองค์
[4:76]
บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น
พวกเขาจะต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
พวกเขาจะต่อสู้ในทางของอัฎ-ฎอฆูต
ดังนั้นพวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาสมุนของชัยฏอนเถิด
แท้จริงอุบายของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนแอ
[4:77]
เจ้ามิได้มองดูบรรดาผู้ที่ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงระงับมือของพวกเจ้าก่อนเถิด
และจงละหมาด
และจงชำระซะกาต
ครั้นเมื่อการสู้รบได้ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกเขา
ทันใดนั้นกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็กลัวมนุษย์เช่นเดียวกับกลัวอัลลอฮ์
หรือกลัวยิ่งกว่า
และพวกเขากล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของเรา
! เพราะเหตุใดพระองค์จึงได้กำหนดการสู้รบขึ้นแก่พวกเรา
พระองค์จะทรงเลื่อนให้แก่พวกเรายังกำหนดเวลาอันใกล้ไม่ได้หรือ? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
สิ่งอำนวยประโยชน์แห่งโลกนี้นั้นเล็กน้อยเท่านั้น
และปรโลกนั้นดียิ่งกว่าสำหรับผู้ที่ยำเกรง
และพวกเจ้าจะไม่ถูกอธรรมแม้เท่าขนาดร่องเมล็ดอินทผาลัม
[4:78]
ณ
ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่
ความตายก็ย่อมมาถึงพวกเจ้า
และแม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในป้อมปราการอันสูงตระหง่านก็ตาม
และหากมีความดีใด
ๆ
ประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็จะกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากอัลลอฮ์และหากมีความชั่วใด
ๆ
ประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็จะกล่าวว่า
สิ่งนี้มาจากเจ้า
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ทุกอย่างนั้นมาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
มีเหตุใดเกิดขึ้นแก่กลุ่มชนเหล่านี้
กระนั้นหรือ
ที่พวกเขาห่างไกลที่จะเข้าใจคำพูด
[4:79]
ความดีใด
ๆ
ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากอัลลอฮ์
และความชั่วใด
ๆ
ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง
และเราได้ส่งเจ้าไปเป็นร่อซู้ลแก่มนุษย์
และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน
[4:80]
ผู้ใดเชื่อฟังร่อซู้ล
แน่นอนเขาก็เชื่อฟังอัลลอฮ์แล้ว
และผู้ใดผินหลังให้
เราก็หาได้ส่งเจ้าไปในฐานะเป็นผุ้ควบคุมพวกเขาไม่
[4:81]
และพวกเขากล่าวว่า
เชื่อฟัง
แต่เมื่อพวกเขาออกไปจากเจ้าแล้ว
กลุ่มหนึ่งในพวกเขาก็ได้วางแผนในเวลากลางคืน
อื่นจากสิ่งที่เจ้ากล่าว
และอัลลอฮ์จะทรงบันทึกสิ่งที่พวกเขาวางแผนกันในเวลากลางคืน
ดังนั้นจงเพิกเฉยต่อพวกเขาเสีย
และจงมอบหมายแก่อัลลอฮ์เถิด
และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา
[4:82]
พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ
? และหากว่า
อัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮ์แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย
[4:83]
และเมื่อมีเรื่องหนึ่งเรื่องใดมายังพวกเขาจะเป็นความปลอดภัยก็ดีหรือความกลัวก็ดี
พวกเขาก็จะแพร่มันออกไปและหากว่าพวกเขาให้มันกลับไปยังร่อซู้ล
และยังผู้ปกครองการงานในหมู่พวกเขาแล้ว
แน่นอนบรรดาผู้ที่วินิจฉัยมันในหมู่พวกเขาก็ย่อมรู้มันได้
และหากมิใช่ความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าแล้ว
แน่นอน
พวกเจ้าก็คงปฏิบัติตามชัยตอนไปแล้ว
นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[4:84]
เจ้าจงสู้รบในทางของอัลลอฮ์เถิด
โดยที่เจ้ามิได้ถูกบังคับ
(ให้เกณฑ์ผู้ใด)
นอกจากตัวของเจ้าเอง
และจงปลุกใจบรรดาผู้ศรัทธาด้วย
เป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์จะทรงยับยั้งกำลังรบของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมีกำลังรบที่เข้มแข็งกว่า
และเป็นผู้ทรงมีการลงโทษที่รุนแรงกว่า
[4:85]
ผู้ใดที่ให้ความช่วยเหลือย่างดีก็จะเป็นของเขา
ซึ่งส่วนหนึ่งจากความดีนั้น
และผู้ใดให้ความช่วยเหลือย่างชั่ว
ก็จะเป็นของเขา
ซึ่งส่วนหนึ่งจากความชั่วนั้น
และปรากฏว่าอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[4:86]
และเมื่อพวกเจ้าได้รับคำอวยพรจะด้วยคำอวยพรใด
ๆ ก็ตาม
ก็จงกล่าวคำอวยพรตอบที่ดีกว่านั้น
หรือไม่ก็กล่าวคำอวยพรนั้นตอบกลับไปแท้จริงอัลลอฮ์ทรงคำนวณนับในทุกสิ่งทุกอย่าง
[4:87]
อัลลอฮ์นั้นคือไม่มีผู้ที่ควรได้รับเคารพสักการะใด
ๆ
นอกจากพระองค์เท่านั้น
แน่นอน
พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าทั้งหลายสู่วันกิยามะฮ์
ซึ่งไม่มีการสงสัยใด
ๆ ในวัน
และใครเล่าที่จะมีคำพูดจริงยิ่งกว่าอัลลอฮ์
[4:88]
มีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ
ที่พวกเจ้าได้กลายเป็นสองพวก
ในกรณีบรรดามุนาฟิกเหล่านั้น
และอัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิมแล้ว
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้
พวกเจ้าต้องการที่จะแนะนำผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้หลงผิดไปแล้วกระนั้นหรือ? และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้หลงผิดไปแล้ว
เจ้าก็จะไม่พบทางใด
ๆ
สำหรับเขาเป็นอันขาด
[4:89]
พวกเขาชอบหากว่า
พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธา
ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ
พวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน
ดังนั้นจงอย่าได้ยึดเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตร
จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทางของอัลลอฮ์
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงเอาพวกเขาไว้
และจงฆ่าพวกเขา
ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา
และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตรและเป็นผู้ช่วยเหลือ
[4:90]
นอกจากบรรดาผู้ที่ติดต่ออยู่กับพวกหนึ่งซึ่งระหว่างพวกเจ้ากับพวกนั้นมีพันธะสัญญาอยู่หรือบรรดาผู้ที่มาหาพวกเจ้าโดยที่หัวอกของพวกเขาอัดอั้นต่อการที่พวกเขาจะสู้รบกับพวกเจ้าหรือสู้รบกับหมู่ชนของพวกเขาเอง
และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนก็ทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือพวกเจ้าแล้ว
แล้วแน่นอนพวกเขาก็สู้รบกับพวกเจ้าแล้วด้วยแต่ถ้าพวกเขาออกห่างพวกเจ้า
โดยที่มิได้ทำการสู้รบกับพวกเจ้า
และได้เจรจาแก่พวกเจ้าซึ่งการประนีประนอมแล้วไซร้อัลลอฮ์ก็ไม่ทรงให้มีทางใดแก่พวกเจ้าที่จะขจัดพวกเขาได้
[4:91]
พวกเจ้าจะพบพวกอื่นอีก
โดยพวกเขาปรารถนาที่จะปลอดภัยจากพวกเจ้า
และปลอดภัยจากพวกเขาเอง
คราใดที่พวกเขาถูกให้กลับไปสู่การฟิตนะฮ์
พวกเขาก็ถูกให้กลับไปอยู่ในนั้นตามเดิมดังนั้นถ้าพวกเขามิได้ออกห่างจากพวกเจ้าไปและมิได้เจรจาแก่พวกเจ้าซึ่งการประนีประนอม
และมิได้ระงับมือของพวกขาแล้วก็จงเอาพวกเขาไว้และจงฆ่าพวกเขา
ณ ที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา
และชนเหล่านี้แหละเราได้ให้มีอำนาจอันชัดเจนแก่พวกเจ้าที่จะขจัดพวกเขาได้
[4:92]
และมิใช่วิสัยของผู้ศรัทธาที่จะฆ่าผู้ศรัทธาคนหนึ่งคนใด
นอกจากด้วยความผิดพลาดเท่านั้นและผู้ใดที่ฆ่าผู้ศรัทธาด้วยความผิดพลาดแล้ว
ก็ให้มีการปล่อยทาสหญิงที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท
และให้มีค่าทำขวัญ
ซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของเขานอกจากว่าครอบครัวของพวกเขาจะทำทานให้เท่านั้น
แต่ถ้าหากเขาอยู่ในหมู่ชนที่เป็นศัตรูของพวกเจ้า
โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาก็ให้มีการปล่อยทาศหญิงที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท
และถ้าเขาอยู่ในหมู่ชนที่มีพันธะสัญญาระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขาแล้ว
ก็ให้มีการทำขวัญ
ซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของเขา
และให้มีการปล่อยทาสหญิงที่ศรัทธาคนหนึ่ง
ผู้ใดที่ไม่พบ
ก็ให้มีการถือศีลอดสองเดือนต่อเนื่องกันเป็นการอภัยโทษจากอัลลอฮ์
และปรากฏว่าอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาน
[4:93]
และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ
การตอบแทนแก่เขาก็คือ
นรกญะฮันนัม
โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
และอัลลอฮ์ก็ทรงกริ้วโกรธเขา
และทรงละนัตเขา
และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง
[4:94]
ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย
!
เมื่อพวกเจ้าเดินทางไปในทางของอัลลอฮ์
ก็จงให้ประจักษ์ชัดเสียก่อนและจงอย่ากล่าวแก่ผู้ที่กล่าวสลามแก่พวกเจ้าว่า
ท่านมิใช่เป็นผู้ศรัทธา
โดยแสวงหาสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวแห่งชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้
แต่ณ
ที่อัลลอฮ์นั้นมีปัจจัยยังชีพอันมากมาย
ในทำนองเดียวกันนั้นพวกเจ้าก็เคยเป็นมาก่อน
แล้วอัลลอฮ์ได้ทรงโปรดปรานแก่พวกเจ้า
ดังนั้นพวกเจ้าจงให้ประจักษ์เสียก่อน
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่
[4:95]
บรรดาผู้ที่นั่งอยู่จากหมู่มุอ์มินที่มิใช่ผู้มีความเดือดร้อน
และบรรดาผุ้ต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮ์
ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขาและชีวิตของพวกเขานั่น
หาได้เท่าเทียมกันไม่
อัลลอฮ์ทรงให้บรรดาผู้ที่ต่อสู้และเสียสละด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา
และชีวิตของพวกเขา
เหนือกว่าบรรดาผู้ที่นั่งอยู่ขั้นหนึ่ง
และทั้งหมดนั้นอัลลอฮ์ได้ทรงสัญญาไว้ให้ซึ่งสิ่งที่ดีเยี่ยมแต่อัลลอฮ์ทรงให้บรรดาผู้ที่ต่อสู้และเสียสละเหนือกว่าบรรดาผู้ที่นั่อยู่ด้วยรางวัลอันใหญ่หลวง
[4:96]
(คือพวกเขาจะได้รับ)
หลายขั้นจากพระองค์
และ
(จะได้รับ)
การอภัยโทษ
และการเอ็นดูเมตตาด้วย
และปรากฏว่าอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
[4:97]
แท้จริงบรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตของพวกเขาไป
โดยที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองนั้น
มลาอิกะฮ์ได้กล่าวว่า
พวกเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งใด
พวกเขากล่าวว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอในแผ่นดิน
มลาอิกะฮ์กล่าวว่า
แผ่นดินของอัลลอฮ์มิได้กว้างขวางดอกหรือที่พวกเจ้าจะอพยพไปอยู่ในส่วนนั้น
ชนเหล่านี้แหละที่อยู่ของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม
และเป็นที่กลับไปอันชั่วร้าย
[4:98]
นอกจากบรรดาผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอ
ไม่ว่าจะเป็นชายและหญิง
และเด็ก
ก็ตามที่ไม่สามารถมีอุบายใด
ๆ ได้
และทั้งไม่ได้รับการแนะนำทางหนึ่งทางใดด้วย
[4:99]
ชนเหล่านี้แหละ
อัลลอฮ์
อาจจะทรงยกโทษให้แก่พวกเขา
และอัลลอฮ์เป็นทรงยกโทษเสมอ
[4:100]
และผู้ใดที่อพยพไปในทางของอัลลอฮ์เขาก็จะพบในผืนแผ่นดิน
ซึ่งสถานที่อพยพไปอันมากมาย
และความมั่งคั่งด้วย
และผู้ที่ออกจากบ้านของเขาไป
ในฐานะผู้อพยพไปยังอัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์
แล้วความตายก็มาถึงเขา
แน่นอนรางวัลของเขานั้นย่อมปรากฏอยู่แล้ว
ณ อัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:101]
และเมื่อพวกเจ้าเดินทางไปในผืนแผ่นดินก็ไม่มีบาปใดๆ
แก่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะลดลงจากการละหมาด
หากพวกเจ้ากลัวว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะข่มเหงรังแกพวกเจ้า
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
เป็นศัตรูอันชัดเจนแก่พวกเจ้า
[4:102]
และเมื่อพวกเจ้าอยู่ในหมู่พวกเขา
แล้วเจ้าได้ให้มีการปฏิบัติละหมาดขึ้นแก่พวกเขา
ดังนั้น
กลุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็จงยืนละหมาดร่วมกับเจ้า
และก็จงเอาอาวุธของพวกเขาถือไว้ด้วย
ครั้นเมื่อพวกเขาสุยูดแล้ว
พวกเขาก็จงอยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าและอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมิได้ละหมาดก็จงมา
และจงละหมาดร่วมกับเจ้า
และจงยึดถือไว้ซึ่งการระมัดระวังของพวกเขา
และอาวุธของพวกเขา
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
หากว่าพวกเจ้าละเลยอาวุธของพวกเจ้า
และสัมภาระของพวกเจ้าแล้ว
พวกเขาก็จะจู่โจมพวกเจ้าอย่างรวดเดียว
และไม่มีบาปใดๆ
แก่พวกเจ้า
หากว่าที่พวกเจ้ามีความเดือดร้อน
เนื่องจากฝนตกหรือพวกเจ้าป่วย
ในการที่พวกเจ้าจะวางอาวุธของพวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเตรียมไว้แล้ว
ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[4:103]
ครั้นเมื่อพวกเจ้าเสร็จจากการละหมาดแล้ว
ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์
ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพนอนเอกเขนกของพวกเจ้า
ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว
ก็จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลาไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[4:104]
และพวกเจ้าจงอย่าท้อแท้ในการแสวงหากลุ่มชนพวกนั้น
หากพวกเจ้าเจ็บ
พวกเขาก็เจ็บเช่นเดียวกับพวกเจ้า
แต่พวกเจ้าหวังจากอัลลอฮ์สิ่งที่พวกเขาไม่หวัง
และอัลลอฮ์นั้น
เป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:105]
แท้จริง
เราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าเป็นความจริง
เพื่อเจ้าจะได้ตัดสินระหว่างผู้คนด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เจ้ารู้เห็น
และเจ้าจงอย่าเป็นผู้เถียงแก้ให้แก่ผู้บิดพลิ้วทั้งหลาย
[4:106]
และเจ้าจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์เถิด
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:107]
และเจ้าจงอย่าโต้เถียงแทนบรรดาผู้ที่บิดพลิ้วต่อตัวของพวกเขาเองเลย
แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบผู้ที่เคยบิดพลิ้ว
ที่เคยกระทำบาป
[4:108]
พวกเขาจะปกปิดให้พ้นจากมนุษย์ได้แต่พวกเขาจะปกปิดให้พ้นจากมนุษย์ได้
แต่พวกเขาจะปกปิดให้พ้นจากอัลลอฮ์นั้นไม่ได้
โดยที่พระองค์ร่วมอยู่ด้วยกับพวกเขาขณะที่พวกเขาวางแผนกันในเวลากลางคืน
ซึ่งคำพูดที่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย
และอัลลอฮ์นั้นทรงล้อมไว้เสมอ
ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[4:109]
พึงรู้เถิดว่า
พวกเจ้านี้แหละได้เถียงแทนพวกเขากันในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้
แล้วใครเล่าที่จะเถียงกับอัลลอฮ์แทนพวกเขาในวันกิยามะฮ์
หรือว่าใครเล่าจะเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา
[4:110]
และผู้ใดที่กระทำความชั่วหรืออธรรมแก่ตัวเอง
แล้วเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์
เขาก็จะพบว่าอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ทรงปรีชาญาณ
[4:111]
และผู้ใดที่แสวงหาบาปกรรมไว้
แท้จริงแล้วเขาแสวงหามันไว้ให้เป็นภัยแก่ตัวเขาเองเท่านั้น
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ทรงปรีชาญาณ
[4:112]
และผู้ใดที่แสวงหาความผิดหรือบาปกรรมไว้
แล้วก็โยนบาปกรรมนั้นให้แก่ผู้บริสุทธิ์
แน่นอนเขาได้แบกความเท็จและบาปกรรมอันชัดเจนไว้
[4:113]
และหากไม่มีความกรุณาของอัลลอฮ์และความเมตตาของพระองค์แก่เจ้าแล้ว
แน่นอนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็มุ่งแล้วที่จะให้เจ้าหลงผิดไป
แต่พวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิดไปได้
นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
และพวกเขาก็จะไม่ทำอันตรายแก่เจ้าได้แต่อย่างใด
และอัลลอฮ์ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า
และความเข้าใจในบทบัญญัติแห่งคัมภีร์นั้นด้วย
และได้ทรงสอนเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน
และความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีแก่เจ้านั้นใหญ่หลวงนัก
[4:114]
ไม่มีความดีใดๆ
ในการพูดซุบซิบอันมากมายของพวกเขา
นอกจากผู้ที่ใช้ให้ทำทานหรือให้ทำสิ่งที่ดีงาม
หรือให้ประนีประนอมระหว่างผู้คนเท่านั้น
และผู้ใดกระทำดังกล่าวเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮ์แล้ว
เราจะให้แก่เขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
[4:115]
และผู้ใดที่ฝ่าฝืนร่อซู้ล
หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว
และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธานั้น
เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป
และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม
และมันเป็นที่กลับอันชั่วร้าย
[4:116]
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้เป็นภาคีกับพระองค์
แต่พระองค์จะทรงอภัยโทษให้ซึ่งสิ่งอื่นจากนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ประสงค์
และผู้ใดให้มีภาคีขี้นแก่อัลลอฮ์แล้ว
แน่นอน เขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
[4:117]
พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์นอกจากเจว็ดหญิง
และพวกเขาจะไม่วิงวอนนอกจากชัยฏอนที่ดื้อดันเท่านั้น
[4:118]
อัลลอฮ์ได้ทรงละอฺนัตมันแล้ว
และมันได้กล่าวว่า
แน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะเอาจากปวงบ่าวของพระองค์ให้ได้
ซึ่งส่วนที่ถูกกำหนดไว้
[4:119]
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงผิด
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงผิด
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา
แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะผ่าหูปศุสัตว์
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา
แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้าง
และผู้ใดที่ยึดเอาชัยฏอนเป็นผู้ช่วยเหลือแล้ว
แน่นอนเขาก็ขาดทุนอย่างชัดเจน
[4:120]
มันจะสัญญาแก่พวกเขา
และจะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน
และชัยตอนมันจะไม่สัญญานอกจากการหลอกลวงเท่านั้น
[4:121]
ชนเหล่านี้แหละที่อยู่ของพวกเขาก็คือนรกญะฮันนัม
และพวกเขาจะไม่พบทางหนีใดๆให้พ้นจากมันไปได้
[4:122]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและประกอบสิ่งดีงามทั้งหลายนั้น
เราจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้สวนสวรรค์เหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาล
เป็นสัญญาอันแท้จริงของอัลลอฮ์
และใครเล่าที่มีคำพูดจริงยิ่งไปกว่าอัลลอฮ์
[4:123]
มิใช่ความเพ้อฝันของพวกเจ้า
และมิใช่ความเพ้อฝันของผู้ที่ได้รับคัมภีร์
ผู้ใดที่กระทำชั่วเขาก็ถูกตอบแทนด้วยความชั่วนั้น
และเขาจะไม่พบผู้คุ้มครอง
และผู้ช่วยเหลือใดๆ
สำหรับเขาอื่นจากอัลลอฮ์
[4:124]
และผู้ใดกระทำในส่วนที่เป็นสิ่งดีงามทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาแล้วไซร้
ชนเหล่านี้จะได้เข้าสวรรค์
และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแม้เท่ารูเล็กๆ
ที่อยู่บนหลังเมล็ดอินทผาลัม
[4:125]
และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮ์
และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี
และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม
ผู้ใฝ่หาความจริง
และอัลลอฮ์ได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย
[4:126]
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้นทรงล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้
[4:127]
และพวกเขาจะขอให้เจ้าชี้ขาดในเรื่องของบรรดาหญิง
จงกล่าวเถิดว่าอัลลอฮ์จะทรงชี้ขาดให้แก่พวกท่านในเรื่องของนางเหล่านั้น
และสิ่งที่ถูกอ่านให้พวกท่านฟังซึ่งอยู่ในคัมภีร์นั้น
(และ)
ในเรื่องของหญิงกำพร้าที่พวกท่านไม่ได้ให้แก่พวกนางซึ่งสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกนาง
และพวกท่านปรารถนาจะแต่งงานกับพวกนาง
และในเรื่องของบรรดาผู้อ่อนแอในหมู่เด็กๆ
และในการที่พวกท่านจะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมแก่บรรดาเด็กกำพร้า
และความดีใดๆ
ที่พวกเจ้ากระทำไปนั้น
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ในความดีนั้น
[4:128]
และหากหญิงใด
เกรงว่าจะมีการปึ่งชา
หรือมีการผินหลังให้จากสามีของนางแล้ว
ก็ไม่มีบาปใดๆ
แก่ทั้งสองที่จะตกลงประนีประนอมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งดีกว่า
และจิตใจคนนั้นถูกให้มีความตระหนี่มาด้วย
และหากพวกเจ้ากระทำดี
และมีความยำเกรงแล้ว
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[4:129]
และพวกเจ้าไม่สามารถที่จะให้ความยุติธรรมในระหว่างบรรดาหญิงได้เลย
และแม้ว่าพวกเจ้าจะมีความปรารถนาอันแรงกล้าก็ตาม
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเอียงไปจนหมด
แล้วพวกเจ้าจะปล่อยให้บรรดานาง
(ที่ถูกทอดทิ้ง)
นั้นประหนึ่งผู้ที่ถูกแขวนไว้
และหากพวกเจ้าประนีประนอมกัน
และมีความยำเกรงแล้ว
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:130]
และหากทั้งสองจะแยกกันอัลลอฮ์ก็จะทรงให้ความพอเพียงแก่เขาทั้งหมด
จากความมั่งมีของพระองค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวาง
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:131]
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
และแท้จริงเราได้สั่งเสียไว้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อนจากพวกเจ้า
และพวกเจ้าด้วย
ว่าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
และหากว่าพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
ก็แท้จริงสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมั่งมีผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[4:132]
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา
[4:133]
หากพระองค์ทรงประสงค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดไป
มนุษย์เอ๊ย!
และจะทรงนำพวกอื่นมา
และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือสิ่งนั้น
[4:134]
ผู้ใดที่ต้องการสิ่งตอบแทนในโลกนี้ก็ที่อัลลอฮ์นั้นมีทั้งสิ่งตอบแทนในโลกนี้และปรโลก
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงเห็น
[4:135]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงเป็นผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
จงเป็นพยานเพื่ออัลลอฮ์
และแม้ว่าจะเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเจ้าเอง
หรือผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม
หากเขาจะเป็นคนมั่งมีหรือคนยากจน
อัลลอฮ์ก็สมควรยิ่งกว่าเขาทั้งสอง
ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำในการที่พวกเจ้าจะมีความยุติธรรม
และหากพวกเจ้าบิดเบือนหรือผินหลังให้
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[4:136]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์เถิด
และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ร่อซู้ลของพระองค์
และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนนั้น
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์
และวันปรโลกแล้วไซร้
แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
[4:137]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วปฏิเสธศรัทธาแล้วศรัทธา
แล้วปฏิเสธศรัทธา
แล้วเพิ่มการปฏิเสธศรัทธายิ่งขึ้นนั้น
ใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่
และใช่ว่าพระองค์จะทรงแนะนำทางใดให้แก่พวกเขาก็หาไม่
[4:138]
จงแจ้งข่าวดีแก่พวกมุนาฟิกเถิดว่า
แท้จริงพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
[4:139]
บรรดาผู้ที่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น
พวกเขาจะแสวงหากำลังอำนาจที่พวกเขากระนั้นหรือ
แท้จริงกำลังอำนาจนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ทั้งหมด
[4:140]
และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้าแล้วในคัมภีร์นั้นว่า
เมื่อพวกเจ้าได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮ์
โองการเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธศรัทธา
และถูกเย้ยหยัน
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่านั่งร่วมกับพวกเขา
จนกว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น
แท้จริงพวกเจ้านั้น-ถ้าเช่นนั้นแล้ว-ก็เหมือนพวกเขา
แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงรวบรวมบรรดามุนาฟิก
และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไว้ในนรกญะฮันนัมทั้งหมด
[4:141]
บรรดาผู้ที่คอยดูพวกเจ้าอยู่นั้น
ถ้าหากพวกเจ้าได้รับชัยชนะจากอัลลอฮ์
พวกเขาก็กล่าวว่าเรามิได้ร่วมกับพวกท่านดอกหรือ? และหากว่ามีส่วนได้ใดๆแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
พวกเขาก็กล่าวว่า
เรามิได้มีอำนาจเหนือพวกท่านดอกหรือ? และเรามิได้ป้องกันพวกท่านให้พ้นจากบรรดาผู้ศรัทธากระนั้นหรือ? อัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเจ้าในวันกิยามะฮ์
และอัลลอฮ์จะไม่ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามีทางใดเหนือบรรดาผู้ศรัทธาเป็นอันขาด
[4:142]
แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นกำลังหลอกลวงอัลลอฮ์อยู่
ขณะเดียวกันอัลลอฮ์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา
และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด
พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้านโดยให้ผู้คนเห็นเท่านั้น
และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์
นอกจากเล็กน้อยเท่านั้น
[4:143]
โดยที่พวกเขาลังเลใจในระหว่างนั้น
จะไปทางพวกนี้ก็ไม่ไป
จะไปทางพวกนี้ก็ไม่ไป
และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้หลงทางไปแล้ว
เจ้าก็จะไม่พบทางใดๆสำหรับเขาเป็นอันขาด
[4:144]
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากผู้ศรัทธาทั้งหลาย
พวกเจ้าต้องการที่จะให้อัลลอฮ์มีหลักฐานอันชัดเจนจัดการกับพวกเขากระนั้นหรือ?
[4:145]
แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นอยู่ในชั้นต่ำสุดจากนรก
และเจ้าจะไม่พบผู้ช่วยเหลือใดๆ
สำหรับพวกเขาเป็นอันขาด
[4:146]
นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดกลับตัวและปรับปรุงแก้ไข
และยึดมั่นต่ออัลลอฮ์
และได้มอบการอิบาดะฮของพวกเขาให้แก่อัลลอฮ์โดยสิ้นเชิง
ชนพวกนี้แหละจะร่วมอยู่กับบรรดาผู้ศรัทธา
และอัลลอฮ์จะทรงประทานแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่
[4:147]
อัลลอฮ์จะทำการลงโทษพวกเจ้าทำไมหากพวกเจ้ากตัญญู
และศรัทธา
และอัลลอฮ์นั้นเป็น
ผู้ทรงขอบใจ
ผู้ทรงรอบรู้
[4:148]
อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบการใช้เสียงดังในถ้อยคำที่เลวร้าย
นอกจากผู้ที่ถูกข่มเหง
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้เสมอ
[4:149]
หากพวกเจ้าเปิดเผยความดี
หรือปกปิดมันไว้
หรือให้อภัยในความเลวร้ายใดๆแล้ว
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงอานุภาพเสมอ
[4:150]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮ์
และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์
และกล่าวว่า
เราศรัทธาในบางคน
และปฏิเสธในบางคน
และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น
ซึ่งทางใดทางหนึ่งนั้น
[4:151]
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาอย่างแท้จริง
และเราได้เตรียมไว้แล้ว
ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[4:152]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์
และมิได้แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในพวกเขานั้น
ชนเหล่านี้แหละพระองค์จะทรงประทานแก่พวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[4:153]
บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์
จะขอร้องเจ้าให้เจ้านำคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขา
แท้จริงนั้นพวกเขาได้ขอร้องแก่มูซาซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นมาแล้ว
โดยที่พวกเขากล่าวว่า
จงให้พวกเราเห็นอัลลอฮ์โดยชัดแจ้งเถิด
แล้วฟ้าผ่าก็ได้คร่าพวกเขา
เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา
ภายหลังพวกเขาก็ได้ยึดถือลูกวัวหลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเจนได้มายังพวกเขา
แล้วเราก็อภัยให้ในเรื่องนั้นและเราได้ให้แก่มูซาซึ่งอำนาจอันชัดเจน
[4:154]
และเราได้ยกภูเขาอัฏฏูรขึ้นเหนือพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาของพวกเขา
และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า
จงเข้าประตูนั้นไป
โดยโน้มศรีษะลง
และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า
จงอย่าได้ละเมิดในวันสับบะโต
และเราได้เอาจากพวกเขาซึ่งสัญญาอันหนักแน่น
[4:155]
และเราจึงได้กริ้วพวกเขา
และละอนัตพวกเขา
เนื่องด้วยการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา
และปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์และฆ่าบรรดานบี
โดยปราศจากความเป็นธรรม
และการที่พวกเขากล่าวว่า
หัวใจของเรามีเปลือกหุ้มอยู่
หามิได้
อัลลอฮ์ได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาต่างหาก
เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธากัน
นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
[4:156]
และเนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา
และกล่าวให้ร้ายแก่มัรยัม
ซึ่งความเท็จอันใหญ่หลวง
[4:157]
และการที่พวกเขากล่าวว่า
แท้จริงพวกเราได้ฆ่า
อัล-มะซีห
อีซา
บุตรของมัรยัม
ร่อซู้ลของอัลลอฮ์
และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา
และหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่
แต่ทว่าเขาถูกให้เหมือนแก้พวกเขา
และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขานั้น
แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับเขา
พวกเขาหามีความรู้ใดๆ
ต่อเขาไม่
นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น
และพวกเขามิได้ฆ่าเขาด้วยความแน่ใจ
(อีซา)
[4:158]
หามิได้
อัลลอฮ์ได้ทรงยกเขา
(อีซา) ขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ
[4:159]
และไม่มีอะฮลิลกิตาบคนใด
นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา
ต่อท่านนบีอีซา
ก่อนที่เขาจะตาย
และวันกิยามะฮ์
เขา (อีซา)
จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น
[4:160]
แล้วก็เนื่องด้วยความอธรรมจากบรรดาผู้ที่เป็นยิว
เราจึงได้ให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขาซึ่งบรรดาสิ่งดีๆ
ที่ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเขามาแล้ว
และเนื่องด้วยการที่พวกเขาขัดขวางทางของอัลลอฮ์อย่างมากมายด้วย
[4:161]
และเนื่องด้วยการที่พวกเขาเอาดอกเบี้ย
ทั้งๆที่พวกเขาถูกห้ามในเรื่องนั้น
และเนื่องด้วยการที่พวกเขากินทรัพย์สินของผู้คนโดยไม่ชอบ
และเราได้เตรียมไว้แล้ว
สำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ
[4:162]
แต่ทว่าบรรดาผู้มั่นในความรู้ในหมู่พวกเขา
และบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น
พวกเขาย่อมศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า
และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้า
และบรรดาผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
และบรรดาผู้ที่ชำระซะกาต
และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และในวันปรโลกชนเหล่านี้แหละ
เราจะให้เขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
[4:163]
แท้จริงเราได้มีโองการแก่เจ้า
เช่นเดียวกับที่เราได้มีโองการแก่นูฮ
และบรรดานบีหลังจากเขา
และเราได้มีโองการแก่อิบรอฮีม
และอิสมาอีล
และอิสหาก
และยะอกูบ
และอัล-อัสบาฏ
และอีซา
และอัยยูบ
และยูนุส
และฮารูน
และสุลัยมาน
และเราได้ให้ซะบูรแก่ดาวูด
[4:164]
และมีบรรดาร่อซู้ล
ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว
และมีบรรดาร่อซู้ลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขา
และอัลลอฮ์ได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ
[4:165]
คือบรรดาร่อซู้ลในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและในฐานะผู้ตักเตือน
เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใดๆ
อ้างแก้ตัวแก่อัลลอฮ์ได้
หลังจากบรรดาร่อซู้ลเหล่านั้น
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:166]
แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นทรงยืนยันในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เจ้าว่า
พระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์และมลาอิกะฮ์ก็ยืนยันด้วย
และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงยืนยัน
[4:167]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และขัดขวางทางของอัลลอฮ์นั้น
แน่นอนพวกเขาได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
[4:168]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และอธรรมแก่ตัวเองนั้น
ใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่
และก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงแนะนำแก่พวกเขา
ซึ่งทางหนีทางใดก็หาไม่
[4:169]
นอกจากทางแห่งนรกญะฮันนัม
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
และนั่นเป็นสิ่งง่ายดายแก่อัลลอฮ์เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:170]
มนุษย์ชาติทั้งหลาย!
แท้จริงร่อซู่ลผู้นั้น
ได้นำความจริงจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว
จงศรัทธากันเถิด
มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า
และหากพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
แล้วแท้จริงสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[4:171]
อะฮ์ลุลกิตาบทั้งหลาย
จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขต
ในศาสนาของพวกเจ้า
และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ์
นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น
แท้จริง อัล-มะซีฮ์
อีซาบุตรของมัรยัมนั้น
เป็นเพียงร่อซู้ลของอัลลอฮ์และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม
และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์
เท่านั้น
ดังนั้นจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์เถิด
และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย
จงหยุดยั้งเสียเถิด
มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการที่จะทรงมีพระบุตร
สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้นและเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผุ้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา
[4:172]
อัล-มะซีห์นั้นจะไม่หยิ่งเป็นอันขาดที่จะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์
และมลาอิกะฮ์ผู้ใกล้ชิด
(พระองค์)
ก็ไม่หยิ่งด้วย
และผู้ใดหยิ่งต่อการที่อิบาดะฮ์
ต่อพระองค์
และยะโสแล้ว
พระองค์ก็จะทรงชุมนุมพวกเขาไว้ยังพระองค์ทั้งหมด
[4:173]
ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธา
และประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนั้น
พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาโดยครบถ้วน
ซึ่งรางวัลของพวกเขา
และจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาด้วย
จากความกรุณาของพระองค์
และส่วนบรรดาผู้ที่หยิ่งยะโสนั้น
พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา
ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ
และพวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครอง
และผู้ช่วยเหลือใด
สำหรับพวกเขาอื่นจากอัลลอฮ์
[4:174]
มนุษยชาติทั้งหลาย!
แน่นอนได้มีหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว
และเราได้ให้แสงสว่าง
อันแจ่มแจ้งลงมาแก่พวกเจ้าด้วย
[4:175]
ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และยึดมั่นในพระองค์นั้น
พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตา
และความโปรดปรานจากพระองค์
และจะทรงแนะนำพวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรงไปสู่พระองค์
[4:176]
เขาเหล่านั้นจะขอให้เจ้าชี้ขาดปัญหา
จงกล่าวเถิดว่า
อัลลอฮ์
จะทรงชี้ขาดให้แก่พวกเจ้าในเรื่องของผู้เสียชีวิตที่มีมีบิดาและบุตร
คือถ้าชายคนหนึ่งตาย
โดยที่เขาไม่มีบุตรแต่มีพี่สาวหรือน้องสาวคนหนึ่งแล้ว
นางจะได้รับครึ่งหนึ่งของมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้
และขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับมรดาของนาง
หากนางไม่มีบุตร
แต่ถ้าปรากฏว่าพี่สาวหรือน้องสาวของเขามีด้วยกันสองคน
ทั้งสองนั้นจะได้รับสองในสามจากมรดกที่เขาได้ทั้งไว้
แต่ถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องหลายคนทั้งชายและหญิง
สำหรับชายจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของหญิงสองคน
ที่อัลลอฮ์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้านั้น
เนื่องจากการที่พวกเจ้าหลงฟิดและอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง