Al-An‘âm
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[6:1]
การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและได้ทรงให้มีบรรดาความมืดและแสงสว่าง
แต่แล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
ก็ยังให้
(สิ่งอื่น)
เท่าเทียมกับพระเจ้าของเขาอยู่
[6:2]
พระองค์คือ
ผู้ที่ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากดิน
แล้วได้ทรงกำหนดเวลาแห่งความยากไว้
และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งนั้น
อยู่ที่พระองค์แต่แล้วพวกเจ้าก็ยังสงสัยกันอยู่
[6:3]
และพระองค์นั้นคือ
อัลลอฮ์
ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน
ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า
และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า
และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่
[6:4]
และไม่มีโองการใด
จากบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขามายังพวกเขา
นอกจากได้ปรากฎว่าพวกเขาผินหลังให้แก่โองการนั้น
[6:5]
แน่นอนพวกเขาได้ปฏิเสธความจริง
เมื่อความจริงนั้นได้มายังพวกเขา
แล้วข่าวคราวของสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้นั้นก็จะมายังพวกเขา
[6:6]
พวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่า
กี่ประชาชาติมาแล้ว
ที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขาซึ่งเราได้ให้พวกเขามีอำนาจและความสามารถในแผ่นดิน
ซึ่งสิ่งที่เรามิได้ให้มีแก่พวกเจ้า
และเราได้ส่งฝนมายังพวกเขาอย่างมากมาย
และเราได้ให้มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของพวกเขา
แล้วเราก็ทำลายพวกเขาเสีย
เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา
และเราได้ให้มีขึ้นหลังจากพวกเขาซี่งประชาชาติอื่น
[6:7]
และหากเราได้ให้ลงมาแก่เจ้า
ซึ่งคัมภีร์ฉบับหนึ่ง
(ที่ถูกจารึกไว้)
ในกระดาษ แล้วพวกเขาก็ได้สัมผัสคัมภีร์นั้นด้วยมือของพวกเขาเอง
แน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาย่อมกล่าวว่า
สิ่งนี้มิใช่อื่นใด
นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น
[6:8]
และพวกเขาได้กล่าวว่า
ไฉนเล่ามะลักจึงมิได้ถูกให้ลงมาแก่เขา
และหากว่าเราได้ให้มะลักลงมาแล้ว
แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ย่อมถูกชี้ขาด
แล้วพวกเขาก็จะไม่ถูกรอคอย
[6:9]
และหากว่าเราได้ให้เขา
เป็นมะลักแน่นอนเราก็ย่อมให้เขาเป็นคนผู้ชาย
และแน่นอนเราก็ย่อมให้สิ่งที่พวกเขาคลุมเคลือกันอยู่
เป็นที่คลุมเคลือแก่พวกเขา
[6:10]
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ล
ก่อนเจ้านั้นได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว
ดังนั้นจึงได้ล้อมบรรดาผู้ที่เย้ยหยันร่อซู้ลเหล่านั้นไว้
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันกัน
[6:11]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงเดินไปในแผ่นดินเถิด
แล้วจงดูว่า
ผลสุดท้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นเป็นอย่างไร?
[6:12]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นของใคร? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าเป็นของอัลลอฮ์
พระองค์ได้ทรงกำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์
แน่นอน
พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าไปสู่วันกิยามะฮ์
โดยไม่มีการสงสัยใดๆ
:ในวันนั้น
บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น
พวกเขาก็จะไม่ศรัทธา
[6:13]
และสิ่งที่สงบเงียบอยู่ในเวลากลางคืนและกลางวันนั้นเป็นสิทธิของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[6:14]
จงกล่าวเถิด
ฉันจะยึดถือ
ผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์
กระนั้นหรือ
ซึ่งพระองค์เป็นผู้ประดิษฐ์บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และพระองค์เป็นผู้ทรงให้อาหารและไม่ถูกให้อาหาร
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงนั้นถูกใช้ให้เป็นคนแรกในหมู่ผู้ที่สวามิภักดิ์
และพวกท่านจงอย่าอยู่ในหมู่ให้มีภาคีเป็นอันขาด
[6:15]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่
หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน
[6:16]
ผู้ใดที่การลงโทษถูกหันเหออกจากเขาในวันนั้นแล้ว
แน่นอนพระองค์ทรงเอ็นดูเมตตาเขา
และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่
[6:17]
และหากว่าอัลลอฮ์
ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแล้ว
ก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้
นอกจากพระองค์เท่านั้น
และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า
แท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[6:18]
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[6:19]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
สิ่งใดใหญ่ยิ่งกว่าในการเป็นพยาน
จงกล่าวเถิดว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน
และอัลกุรอานนี้ก็ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน
เพื่อที่ฉันจะได้ใช้อัลกุรอานนี้
ตักเตือนพวกท่าน
และผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึง
พวกท่านจะยืนยันโดยแน่นอนกระนั้นหรือว่า
มีบรรดาที่เคารพสักการะอื่นร่วมกับอัลลอฮ์? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่ยืนยัน
จงกล่าวเถิด
แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
และแท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคี
(แก่อัลลอฮ์)
[6:20]
บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น
พวกเขารู้จักเขา
เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ
ของพวกเขาเอง
บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น
พวกเขาจะไม่ศรัทธา
[6:21]
และผู้ใดเล่า
คือผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์? แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
[6:22]
และวันที่เราจะชุมนุมพวกเขาทั้งมวล
แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นว่าไหนเล่า
บรรดาภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าอ้างกัน
[6:23]
แล้ว
(ผลแห่ง)
การทดสอบพวกเขาก็มิได้เป็นอย่างอื่น
นอกจากพวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ขอสาบานต่ออัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ว่า
พวกข้าพระองค์ไม่เคยเป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:24]
จงดูเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกเขาได้โกหกแก่ตัวพวกเขาเองอย่างไร? และสิ่งที่พวกเขาเคยอุปโลกน์ขึ้นก็ได้หายไปจากพวกเขา
[6:25]
และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่สดับฟังเจ้าอยู่บ้าง
แต่เราได้ให้มีสิ่งปิดกั้นอยู่บนหัวใจของพวกเขา
ในการที่พวกเขาจะเข้าใจอัลกุร-อาน
และได้ให้ในหูของพวกเขามีความหนวกอยู่ด้วย
และหากพวกเขาเห็นสัญญาณทุกอย่าง
พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาจนกระทั่งพวกเขาได้มาหาเจ้า
ก็ยังโต้เถียงกับเจ้า
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นจะกล่าวว่า
นี่มิใช่อะไรอื่น
นอกจากบรรดาสิ่งขีดเขียนอันไร้สาระของคนก่อนๆ
เท่านั้น
(นิยายโบราณ)
[6:26]
และพวกเขาห้ามเกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน
และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกุรอานด้วย
และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครพินาศ
นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
แต่พวกเขาไม่รู้สึก
[6:27]
และหากเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่พวกเขาถูกให้หยุดยืนเบื้องหน้าไฟนรก
แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า
โอ้!
หวังว่าเราจะถูกนำกลับไป
และเราก็จะไม่ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของเราอีก
และเราก็จะได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา
[6:28]
แต่ทว่าได้ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว
สิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้แต่กาลก่อน
และแม้ว่าพวกเขาถูกให้กลับไป
แน่นอนพวกเขาก็กลับกระทำอีกในสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้
และแท้จริงพวกเขาคือผู้ที่กล่าวเท็จ
[6:29]
และพวกเขากล่าวว่า
มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากชีวิตความเป็นอยู่ของเราในโลกนี้เท่านั้น
และเรานั้นใช่ว่าจะเป็นผู้ถูกให้ฟื้นคืนชีพก็หาไม่
[6:30]
และหากว่าเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่พวกเขาถูกให้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า
นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ?พวกเขาตอบว่า
ใช่ขอรับ
พวกข้าพระองค์ขอสาบานด้วยพระเจ้าของพวกข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษกันเถิด
เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
[6:31]
แน่นอนได้ขาดทุนไปแล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮ์
จนกระทั่งเมื่อวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกเขาโดยกระทันหัน
แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้ความเสียใจของเรา
ในสิ่งที่เราได้ทำให้บกพร่องในโลก
โดยที่พวกเขาแบกบรรดาบาปของพวกเขาไว้บนหลังของพวกเขาด้วย
พึงรู้เถิดว่า
ช่างเลวร้ายจริงๆ
สิ่งที่พวกเขากำลังแบกอยู่
[6:32]
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น
นอกจากการเล่น
และการเพลิดเพลินเท่านั้นและแน่นอนสำหรับบ้านแห่งอาคีเราะห์นั้นดียิ่งกว่า
สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง
พวกเจ้าไม่ได้ใช้ปัญญาดอกหรือ?
[6:33]
เรารู้ดีว่า
สิ่งที่พวกเขากล่าวกันนั้นทำให้เจ้าเสียใจ
แท้จริงพวกเขาหาได้ปฏิเสธเจ้าไม่
แต่ทว่าบรรดาผู้อธรรมนั้นปฏิเสธโองการต่างๆของอัลลอฮ์ต่างหาก
[6:34]
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ลก่อนเจ้านั้นได้ถูกปฏิเสธมาแล้ว
แล้วพวกเขาอดทนต่อสิ่งที่พวกเขาถูกปฏิเสธ
และถูกทำร้ายจนกระทั่ง
ความช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา
และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพจนารถของอัลลฮ์ได้
และแท้จริงนั้นได้มายังเจ้าแล้ว
จากข่าวคราวของบรรดาผู้ที่ถูกส่งมา
[6:35]
และหากว่าการผินหลังให้ของพวกเขานั้นมันใหญ่โตแก่เจ้าแล้ว
หากเจ้าสามารถที่จะแสวงหาช่องใดๆลงในแผ่นดิน
หรือบันไดสู่ฟากฟ้า
แล้วทำสัญญาณหนึ่งมายังพวกเขา
และหากว่าอัลลอฮ์
ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนพระองค์ก็ทรงรวบรวมพวกเขาให้อยู่บนคำแนะนำแล้ว
ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้งมงายเลย
[6:36]
แท้จริง
ที่จะตอบรับนั้นเพียงบรรดาผู้ที่ฟังเท่านั้น
และบรรดาผู้ที่ตายนั้นอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ
แล้วพวกเขาก็จะถูกนำกลับไปยังพระองค์
[6:37]
และพวกเขากล่าวว่า
ไฉนเล่าจึงไม่มีสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขาถูกให้ลงมาแก่เขา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงสามารถที่จะให้สัญญาณหนึ่งลงมา
แต่ทว่าส่วนมากพวกเขานั้นไม่รู้
[6:38]
และไม่มีสัตว์ใดๆ
ในแผ่นดิน
และไม่มีสัตว์ปีกใดๆที่บินด้วยสองปีกของมัน
นอกจากประหนึ่งเป็นประชาชาติเยี่ยงพวกเจ้านั่นเอง
เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์
แล้วยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
พวกเขาจะถูกนำไปชุมนุม
[6:39]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานั้น
คือผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้
ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืด
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์
พระองค์ก็จะทรงให้เขาหลงทางไป
และผู้ใดที่พระองค์ประสงค์
ก็จะทรงให้เขาอยู่บนทางอันเที่ยงตรง
[6:40]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ? หากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่าน
หรือวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกท่าน
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
[6:41]
มิได้
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ
แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ
หากพระองค์ทรงประสงค์
และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น
[6:42]
และแท้จริงเราได้ส่งไปยังประชาชาติก่อนหน้าเจ้า
แล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขาด้วยความแร้นแค้นและการเจ็บป่วย
เพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม
[6:43]
แล้วไฉนเล่า
พวกเขาจึงไม่นอบน้อม
เมื่อการลงโทษของเราได้มายังพวกเขา
แต่ทว่าหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง
และชัยฏอนก็ได้ให้เป็นที่สวยงามแก่พวกเขาด้วยในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:44]
ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึกในสิ่งนั้น
เราก็เปิดให้แก่พวกเขาซึ่งบรรดาประตูของทุกสิ่ง
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาระเริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับ
เราก็ลงโทษพวกเขาโดยกระทันหัน
แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็หมดหวัง
[6:45]
แล้วได้ถูกตัดขาด
จนคนสุดท้ายของกลุ่มชนที่อธรรม
และการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
[6:46]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ? หากอัลลอฮ์ทรงเอาหูของพวกท่าน
และตาของพวกท่านไป
และได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกท่านด้วยแล้ว
ใครเล่าคือผู้ซึ่งได้รับการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะนำมันมาให้แก่พวกท่านได้
จงดูเถิดว่าอย่างไรเล่าที่เราแจกแจงโองการทั้งหลาย
แล้วพวกเขาก็ยังหันเหไปได้
[6:47]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พวกท่านเห็นแล้วมิใช่ดอกหรือว่า
หากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่านโดยกระทันหันก็ดี
หรือโดยเปิดเผยก็ดีนั้น
จะไม่มีใครถูกทำลาย
นอกจากกลุ่มชนผู้อธรรมเท่านั้น
[6:48]
และเราจะไม่ส่งบรรดาร่อซู้ลมา
นอกจากในฐานะผู้แจ้งข่าวดี
และผู้ตักเตือนเท่านั้น
ดังนั้นผู้ใดที่ศรัทธาและปรับปรุงแก้ไขแล้ว
ก็ไม่มีความกลัวใดๆ
แก่พวกเขา
และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
[6:49]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น
การลงโทษจะประสบแก่พวกเขา
เนื่องจากการที่พวกเขาละเมิด
[6:50]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า
ที่ฉันมีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ์
และทั้งฉันก็ไม่รู้สิ่งเร้นลับ
และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า
ฉันคือมะลัก
ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม
นอกจากสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันเท่านั้น
จงกล่าวเถิด
คนตาบอดกับคนตาดีนั้นจะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญดอกหรือ?
[6:51]
และเจ้าจงตักเตือนด้วย
อัลกุรอานแก่บรรดาผู้เกรงกลัวว่าพวกเขาจะถูกนำไปชุมนุมยังพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่อื่นจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด
และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใด
สำหรับพวกเขา
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
[6:52]
เจ้าจงอย่าขับไล่บรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขา
ทั้งในเวลาเช้าและเย็น
โดยปรารถนาความโปรดปรานจากพระองค์
ไม่เป็นภัยแก่เจ้าแต่อย่างใด
ในการชำระพวกเขา
และก็ไม่เป็นภัยแก่พวกเขาแต่อย่างใด
จากการชำระเจ้า
แล้วเหตุใดเจ้าจึงจะขับไล่พวกเขา? (ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว)
เจ้าก็จะกลายเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรม
[6:53]
และในทำนองนั้นเราได้ทดสอบบางคนของพวกเขาด้วยอีกบางคน
เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า
ชนเหล่านี้กระนั้นหรือที่อัลลอฮ์ทรงกรุณาแก่พวกเขา
ในระหว่างพวกเรา
อัลลอฮ์นั้นมิใช่เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่กตัญญูดอกหรือ?
[6:54]
และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของเราได้มาหาเจ้า
(มุฮัมมัด)
ก็จงกล่าวเถิดว่าขอความปลอดภัยจงมีแต่พวกท่านเถิด
พระเจ้าของพวกเจ้าได้กำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่วโดยไม่รู้แล้วเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้นและปรับปรุงแก้ไขแล้ว
แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[6:55]
และในทำนองนั้นเราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย
และเพื่อที่วิถีทางของผู้กระทำผิดจะได้ประจักษ์ชัด
[6:56]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพสักการะ
บรรดาผู้ที่พวกท่านวิงวอนกันอยู่
อื่นจากอัลลอฮ์
จงกล่าวเถิด
ฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า
ถ้าเช่นนั้นแน่นอน
ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย
และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ
[6:57]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แท้จริงฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดเจน
จากพระเจ้าของฉัน
ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็ปฏิเสธหลักฐานนั้น
ที่ฉันนั้นไม่มีสิ่งที่พวกเจ้าเร่งรีบกันดอก
แท้จริงการชี้ขาดนั้นมิใช่สิทธิของใครอื่น
นอกจากเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น
โดยที่พระองค์จะทรงแจ้งความจริง
และพระองค์เป็นผู้ที่เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ชี้ขาด
[6:58]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
หากที่ฉันมีสิ่ง
(อำนาจ)
ที่พวกเจ้าเร่งรีบกันแล้ว
แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ถูกชี้ขาดระหว่างฉันกับพวกท่านแล้วและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อผู้อธรรมทั้งหลาย
[6:59]
และที่พระองค์นั้นมีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับ
โดยที่ไม่มีใครรู้กุญแจเหล่านั้น
นอกจากพระองค์เท่านั้น
และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน
และในทะเล และไม่มีใบไม้ใด
ร่วงหล่นลงนอกจากพระองค์จะทรงรู้มัน
และไม่มีเมล็ดพืชใดซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน
และไม่มีสิ่งที่อ่อนนุ่มใด
และสิ่งที่แห้งใด
นอกจากจะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
[6:60]
และพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตาย
ในเวลากลางคืน
และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำขึ้นในเวลากลางวัน
แล้วก็ทรงให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพในเวลานั้น
เพื่อว่าเวลาแห่งอายุที่ถูกกำหนดไว้นั้นจะได้ถูกใช้ให้หมดไป
แล้วพระองค์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[6:61]
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์
และทรงส่งบรรดาผู้บันทึกความดีและความชั่วมายังพวกเจ้าด้วย
จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนใดในพวกเจ้าแล้ว
บรรดาทูตของเรา
ก็จะรับชีวิตของพวกเขาไป
โดยที่พวกเขาจะไม่ทำให้บกพร่อง
[6:62]
แล้วพวกเขาก็ถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ผู้เป็นนายอันแท้จริงของพวกเรา
พึงรู้เถิดว่า
การชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
และพระองค์เป็นผู้ที่รวดเร็วยิ่งในหมู่ผู้ชำระทั้งหลาย
[6:63]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า ใครเล่า
จะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบก
และทางทะเล
โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม
และแผ่วเบาว่า
ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กคัญญูรู้คุณ
[6:64]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
อัลลอฮ์จะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมัน
และจากความทุกข์ยากทุกอย่างด้วย
แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก
(แก่พระองค์)
[6:65]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
พระองค์คือผู้ทรงสามารถที่จะส่งการลงโทษมายังพวกท่าน
จากเบื้องบนของพวกท่านหรือจากใต้เท้าของพวกท่านหรือ
ให้พวกท่านปนเปกันโดยมีหลายพวก
และให้บางส่วนของพวกท่านลิ้มรสซึ่งการรุกรานของอีกบางส่วน
จงดูเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า เรากำลังแจกแจงโองการทั้งหลายอยู่อย่างไร? เพื่อว่าพวกเขาจะได้เข้าใจ
[6:66]
และกลุ่มชนของเจ้านั้นได้ปฏิเสธอัลกุรอาน
ทั้งๆที่อัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรม
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันมิใช่ผู้พิทักษ์พวกท่านดอก
[6:67]
สำหรับแต่ละข่าวคราวนั้น
ย่อมมีเวลาที่เกิดขึ้น
และพวกเจ้าจะได้รู้
[6:68]
และเมื่อเจ้าเห็นบรรดาผู้ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในบรรดาโองการของเราแล้ว
ก็จงออกห่างจากพวกเขาเสีย
จนกว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่นจากนั้น
และถ้าชัยฏอนทำให้เจ้าลืมแล้ว
ก็จงอย่านั่งรวมกับพวกที่อธรรมเหล่านั้นต่อไป
หลังจากที่มีการนึกขึ้นได้
[6:69]
และไม่เป็นภัยแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงแต่อย่างใดจากการชำระพวกเขา
แต่ทว่าเป็นการตักเตือน
(แก่พวกเขา)
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
[6:70]
และเจ้าจงปล่อยเสีย
ซึ่งบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นของเล่น
และสิ่งให้ความเพลิดเพลิน
และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา
และเจ้าจงเตือนด้วยอัลกุรอาน
การที่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด
จะถูกสังกัดอยู่
กับสิ่งที่ชีวิตได้ขวนขวายไว้
โดยที่อื่นจากอัลลอฮ์แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด
และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใดสำหรับชีวิตนั้น
และถ้าชีวิตนั้นจะไถ่ถอนด้วยสิ่งไถ่ถอนทุกอย่าง
มันก็จะไม่ถูกรับจากชีวิตนั้น
ชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้ถูกให้สังกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้
ซึ่งพวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มจากน้ำที่ร้อนจัด
และจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
เนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธการศรัทธา
[6:71]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
เราจะวิงวอน
ขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณแก่เราได้
และไม่ให้โทษแก่เราได้อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? และเราก็จะถูกให้หันส้นเท้าของเรากลับ
หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเราแล้ว
ดั่งผู้ที่พวกชัยฏอนได้ทำให้เขาหลงไปในแผ่นดินในสภาพที่งงงวย
ซึ่งเขามีเพื่อนๆเรียกร้องเขาให้ไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้องว่า
จงมาหาพวกเราเถิด
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้นคือคำแนะนำ
และพวกเราได้รับบัญชาให้เราสวามิภักดิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
[6:72]
และ
(พวกเราได้รับบัญชา)
ว่า
จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด
และจงยำเกรงพระองค์เถิด
และพระองค์คือผู้ที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุมยังพระองค์
[6:73]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินด้วยความจริง
และวันที่พระองค์ตรัสว่าเจ้าจงเป็นขึ้น
แล้วมันก็จะเป็นขึ้น
พระดำรัสของพระองค์คือความจริง
และอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นของพระองค์
ในวันที่จะถูกเป่าเข้าไปในแตร
พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ
และในสิ่งเปิดเผย
และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[6:74]
และจงรำลึกขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขา
คืออาซัรว่า
ท่านจะยึดถือเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะกระนั้นหรือ? แท้จริงฉันเห็นว่าท่านและกลุ่มชนของท่านนั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[6:75]
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะให้อิบรอฮีมเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินและเพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เชื่อมั่นทั้งหลาย
[6:76]
ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา
เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง
เขากล่าวว่า
นี้คือพระเจ้าของฉัน
แต่เมื่อมันลับไป
เขาก็กล่าวว่า
ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป
[6:77]
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น
เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน
แต่เมื่อมันลับไป
เขาก็กล่าวว่า
ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว
แน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด
[6:78]
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้น
เขาก็กล่าวว่า
นี้แหละคือพระเจ้าของฉัน
นี้แหละใหญ่กว่า
แต่เมื่อมันได้ลับไป
เขาก็กล่าวว่า
โอ้กลุ่มชนของฉัน!
แท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น
(แก่อัลลอฮ์)
[6:79]
แท้จริงข้าพระองค์ขอผินหน้าของข้าพระองค์แด่ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
ในฐานะผู้ใฝ่หาความจริง
ผู้สวามิภักดิ์
และข้าพระองค์มิใช่คนหนึ่งในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:80]
และกลุ่มชนของเขาได้โต้เถียงเขา
เขาได้กล่าวว่า
พวกท่านจะโต้เถียงฉันในเรื่องอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? และแท้จริงพระองค์ได้ทรงแนะนำฉันแล้ว
และฉันจะไม่กลัวสิ่งที่พวกท่านให้สิ่งนั้นเป็นภาคีขึ้น
นอกจากพระเจ้าของข้าพระองค์จะทรงประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้น
พระเจ้าของฉันนั้นมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่ง
แล้วพวกเจ้าไม่รำลึกกันหรือ?
[6:81]
และอย่างไรเล่าที่ฉันจะกลัวสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น
โดยที่พวกท่านไม่กลัวที่พวกท่านได้ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์
ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงให้มีหลักฐานใดๆ
ลงมาแก่พวกเจ้าในสิ่งนั้น
แล้วฝ่ายใดเล่าในสองฝ่ายนั้น
เป็นฝ่ายที่สมควรต่อความปลอดภัยยิ่งกว่า
หากพวกท่านรู้
[6:82]
บรรดาผู้ที่ศรัทธา
โดยที่มิได้ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับการอธรรมนั้น
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับความปลอดภัย
และพวกเขาคือผู้ที่รับเอาคำแนะนำไว้
[6:83]
และนั่นคือ
หลักฐานของเราที่ได้ให้มันแก่อิบรอฮีม
โดยมีฐานะเหนือกลุ่มชนของเขา
เราจะยกขึ้นหลายขั้น
ผู้ที่เราประสงค์
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้
[6:84]
และเราได้ให้แก่เขา
ซึ่งอิสหาก
และยะอ์กูบ
ทั้งหมดนั้นเราได้แนะนำแล้ว
และนูฮ์เราก็ได้แนะนำแล้วแต่ก่อนโน้น
และจากลูกหลานของเขานั้น
คือ ดาวูด
และสุลัยมาน
และอัยยูบและยูซุฟและมูซา
และฮารูน
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะตอบแทนแก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
[6:85]
และซะกะรียา
และยะฮ์ยา
และอีซา
และอิลยาส
ทุกคนนั้นอยู่ในหมู่คนดี
[6:86]
และอิสมาอีล
และอัล-ยะสะอ์
และยูนุสและลูฏ
แต่ละคนนั้น
เราได้ให้ดีเด่นเหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
[6:87]
และ
(เราได้ให้ดีเด่นอีก)
ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดาของพวกเขา
และลูกหลานของพวกเขาและพี่น้องของพวกเขา
และเราได้เลือกพวกเขา
และได้แนะนำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
[6:88]
นั่นแหละคือ
คำแนะนำของอัลลอฮ์
โดยที่พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์
ด้วยคำแนะนำนั้น
และหากพวกเขาได้ให้มีภาคีขึ้นแล้ว
แน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมา
ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา
[6:89]
ชนเหล่านี้คือ
ผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา
และให้คำตัดสิน
และให้การเป็นนบีด้วย
แต่ถ้าชนเหล่านี้
ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน
แน่นอนเราได้มอบมันไว้แล้วแก่กลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขามิใช่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน
[6:90]
ชนเหล่านี้
คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำไว้
ดังนั้นด้วยคำแนะนำของพวกเขา
เจ้าจงเจริญรอยตามเถิด
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันจะไม่ขอต่อพวกท่าน
ซึ่งค่าจ้างใดๆ
ในการใช้ให้ศรัทธาต่อ
อัลกุรอาน
อัลกุรอานนั้น
มิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น
[6:91]
และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่อัลลอฮ์ตามควรแก่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์
จงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า
อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานสิ่งใดแก่ปุถุชนใด
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ผู้ใดเล่าที่ได้ทรงประทานมา
ซึ่งคัมภีร์ที่มูซานำมาเป็นแสงสว่าง
และคำแนะนำแก่มนุษย์
ซึ่งพวกท่านได้บันทึกไวในกระดาษ
โดยที่จะได้เปิดเผยมันและก็ปกปิดมันไว้มากมาย
และพวกเจ้าถูกสอนในสิ่งที่ทั้งพวกเจ้า
และบรรพบุรุษของพวกเจ้ามิได้รู้มาก่อน
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
(ผู้ทรงประทาน)
คืออัลลอฮ์
นั่นเอง
แล้วจงปล่อยพวกเขาสนุกสนานกันในการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาต่อไป
[6:92]
นี้คือ
คัมภีร์ที่เราได้ให้ลงมาอันเป็นคัมภีร์ที่มีความจำเริญ
ที่ยืนยันสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นี้
และเพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนแม่แห่งเมืองทั้งหลาย
และผู้ที่อยู่รอบๆแม่เมืองนั้น
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น
พวกเขาย่อมศรัทธาต่อคัมภีร์นี้
และขณะเดียวกันพวกเขาก็จะรักษาการละหมาดของพวกเขา
[6:93]
และใครเล่าคือ
ผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือกล่าวว่าได้ถูกประทานโองการแก่ฉัน
ทั้งๆที่มิได้มีสิ่งใดถูกประทานให้เป็นโองการแก่เขา
และผู้ที่กล่าวว่า
ฉันจะให้ลงมาเช่นเดียวกับสิ่งที่อัลลอฮ์ให้ลงมา
และหากเจ้าจะได้เห็น
ขณะที่บรรดาผู้อธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย
และมลาอิกะฮ์
กำลังแบมือของพวกเขา
(โดยกล่าวว่า)
จงให้ชีวิตของพวกท่านออกมา
วันนี้พวกท่านจะได้รับการตอบแทน
ซึ่งโทษแห่งการต่ำต้อย
เนื่องจากที่พวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์โดยปราศจากความจริง
และเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงยะโสต่อบรรดาโองการของพระองค์
[6:94]
และแน่นอนพวกเจ้าได้มายังเราโดยลำพังเยี่ยงที่เราได้บังเกิดพวกเจ้ามาในครั้งแรก
และพวกเจ้าได้ละทิ้งสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังของพวกเจ้า
และเราไม่เห็นอยู่กับพวกเจ้าบรรดาผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้อ้างไว้ว่า
พวกเขาเป็นผู้มีหุ้นส่วนในพวกเจ้า
แน่นอนได้ขาดเป็นเสี่ยงๆแล้วในระหว่างพวกเจ้า
และได้หายจากพวกเจ้าสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างไว้
[6:95]
แท้จริงอัลลอฮ์
เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัมปริออก
ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต
นั่นแหละคืออัลลอฮ์
แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไปได้
[6:96]
ผู้ทรงเผยอรุโณทัย
และทรงให้กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน
และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นการคำนวณ
นั่นคือการกำหนดให้มีขึ้นของผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปริชาญาณ
[6:97]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งดวงดาวทั้งหลาย
เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยดวงดาวเหล่านั้น
ทั้งในความมืดแห่งทางบกและทางทะเล
แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่รู้
[6:98]
และพระองค์คือ
ผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากชีวิตหนึ่ง
โดยให้มีที่พัก
และให้มีที่ฝาก
แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่เข้าใจ
[6:99]
และพระองค์นั้นคือ
ผู้ที่ทรงให้น้ำลงมาจากฟากฟ้า
แล้วทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้น
ซึ่งพันธุ์พืชของทุกสิ่งและเราได้ให้ออกจากพันธุ์พืชนั้น
ซึ่งสิ่งที่มีสีเขียว
จากสิ่งที่มีสีเขียวนั้นเราได้ให้ออกมาซึ่งเมล็ดที่ซ้อนตัวกันอยู่
และจากต้นอินทผาลัมนั้น
จั่นของมันเป็นหลายต่ำ
(และทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นอีก)
ซึ่งสวนองุ่นและซัยตูน
และทับทิม
โดยมีสภาพคล้ายกัน
และไม่คล้ายกัน
พวกเจ้าจงมองดู
ผลของมัน
เมื่อมันเริ่มออกผล
และเมื่อมันแก่สุก
แท้จริงในสิ่งเหล่านั้นแน่นอน
มีสัญญาณมากมาย
สำหรับหมู่ชน
ผู้ศรัทธา
[6:100]
และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์
ซึ่งบรรรดาภาคีแห่งญิน
ทั้งๆที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา
แต่พวกเขาอุปโลกษ์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชาย
และบรรดาบุตรหญิง
โดยปราศจากความรู้พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะกัน
[6:101]
พระผู้ทรงประดิษฐ์
บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง
และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
[6:102]
นั่นแหละคืออัลลอฮ์
ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า
ไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะ
นอกจากพระองค์
ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิด
และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง
[6:103]
สายตาทั้งหลายย่อมไม่ถึงพระองค์
แต่พระองค์ทรงถึงสายตาเหล่านั้น
และพระองค์ก็คือผู้ทีรงปรานี
ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน
[6:104]
แท้จริงบรรดาหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้านั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้น ผู้ใดมองเห็น
ก็ย่อมได้แก่ตัวของเขา
และผู้ใดมองไม่เห็น
ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตัวของเขา
และฉันมิใช่เป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเจ้า
[6:105]
และในทำนองเดียวกัน
เราจะแจกแจงโองการทั้งหลายไว้
และเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า
เจ้า
(มุฮัมมัด)
ได้ศึกษามา
และเพื่อเราจะได้ให้แจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้
[6:106]
จงปฏิบัติสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิด
ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
นอกจากพระองค์เท่านั้น
และเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ให้มีภาคี
เถิด
[6:107]
และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว
พวกเขาก็ย่อมมิให้มีภาคีขึ้น
และเราก็มิได้ให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเขา
และเจ้าก็มิใช่เป็นผู้รับมอบหมาย
ให้คุ้มครองรักษาพวกเขาด้วย
[6:108]
และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า
บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ
อื่นจากอัลลอฮ์
แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด
โดยปราศจากความรู้
ในทำนองนั้นแหละ
เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ
ซึ่งการงานของพวกเขา
และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
คือการกลับไปของพวกเขา
แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:109]
และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์หนักแน่นอย่างยิ่งว่า
ถ้าหากมีสัญญาหนึ่ง
มายังพวกเขา
แน่นอนพวกเขาจะศรัทธา
เนื่องด้วยสัญญาณนั้น
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า แท้จริงสัญญาณทั้งหลายนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้น
ซึ่งการงานของพวกเขาและยังพระเจ้าของพวกเขานั้น
คือการกลับไปของพวกเขา
แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะทำกัน
[6:110]
และเราจะพลิกหัวใจของพวกเขา
และตาชองพวกเขา
เช่นเดียวกับที่พวกเขามิได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น
ในครั้งแรก
และเราจะปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในความละเมิดของพวกเขาต่อไป
[6:111]
และแม้ว่าเราได้ให้มลาอิกะฮ์ลงมายังพวกเขา
และบรรดาคนตายได้พูดกับพวกเขา
และเราได้รวบรวมทุกสิ่งไว้เบื้องหน้าพวกเขา
ก็ใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธากัน
นอกจากอัลลอฮ์จะทรงประสงค์เท่านั้น
แต่ทว่าส่วนมากในหมู่พวกเขานั้นไม่รู้
[6:112]
และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน
คือ
บรรดาชัยฏอนมนุษย์
และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน
ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง
และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์
แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้
เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์
ขึ้นเถิด
[6:113]
และเพื่อที่หัวใจของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกจะได้โน้มเอียงไปสู่คำพูดที่ตกแต่งนั้นและเพื่อที่พวกเขาจะได้พึงพอใจในคำพูด
นั้น
และเพื่อที่พวกเขาจะได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้กระทำกันอยู่
[6:114]
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาด
ทั้ง ๆ
ที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด
? และบรรดาผุ้ที่เรา
ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา
นั้น
พวกเขารู้ดีว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้า
ด้วยความเป็นจริง
เจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
[6:115]
และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว
ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[6:116]
และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว
พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไป
พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอา
เอง
และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น
[6:117]
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรู้ยิ่งต่อผู้ที่กำลังหลงไปจากท่ายของพระองค์
และเป็นผู้รู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่รับเอาคำแนะนำ
[6:118]
ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่ง
ที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน
เถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์
[6:119]
แลมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเข้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน
ทั้งๆ
ที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งสิ่ง
ที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้า
นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการ
มันเท่านั้น
และแท้จริงมีผู้คนมากมายทำให้ผู้อื่นหลงผิดไป
ด้วยความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้แท้จริง
พระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรอบรู้ยิ่งต่อผู้ละเมิดทั้งหลาย
[6:120]
และพวกเจ้าจงสละซึ่งบาปที่เปิดเผยและบาปที่ปกปิด
แท้จริงบรรดาผู้ที่ขวนขวายกระทำสิ่งที่เป็นบาปกันอยู่นั้น
พวกเขาจะได้รับการตอบแทน
ตามที่พวกเขากระทำกัน
[6:121]
และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์มิได้ถูกกล่าวบน
มัน
และแท้จริงมัน
เป็นการละเมิดแน่ๆ
และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย
ของมัน
เพื่อพวกเขา
จะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า
และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา
แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:122]
และผู้ที่ตายแล้ว
แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น
และเราได้ให้แสงสว่าง
แก่เขาซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยที่มิใช่เป็นผู้ที่จะออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ
? ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงาม
แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่
[6:123]
และในทำนองนั้นแหละ
เราได้ให้มีขึ้นในแต่ละเมือง
ซึ่งบรรดาบุคคลสำคัญ
ๆ เป็นผู้กระทำความผิดแห่งเมืองนั้นๆ
เพื่อที่พวกเขาจะได้วางอุบายหลอกลวงในเมืองนั้น
และพวกเขาจะไม่วางอุบายหลอกลวง
นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น
แต่พวกเขาหารู้สึกไม่
[6:124]
และเมื่อได้มีโองการใดมายังพวกเขาพวกเขาก็กล่าวว่า
เราจะไม่ศรัทธาเป็นอันขาด
จนกว่าเราจะได้รับ
เยี่ยงสิ่งที่บรรดาร่อซู้ลของอัลลอฮ์ได้รับมาแล้ว
อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง
ณ ที่
ที่พระองค์จะทรงให้มีสารของพระองค์ขึ้น
บรรดาความต่ำต้อยและการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮ์นั้น
จะประสบแก่บรรดาผู้ที่กระทำความผิด
เนื่องจากการที่พวกเขาวางอุบายหลอกลวงกัน
[6:125]
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงต้องการจะแนะนำเขาก็จะทรงให้หัวอกของเขาเบิกบาน
เพื่ออิสลาม
และผู้ใดที่พระองค์ทรงต้องการจะปล่อยให้เขาหลงทาง
ก็จะทรงให้ทรวงอกของพวกเขาแคบ
อึดอัด ประหนึ่งว่าเขากำลังขึ้นไปยังฟากฟ้า
ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงให้มีความโสมม
แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[6:126]
และนี่แหละคือทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยมีสภาพอันเที่ยงตรง
แท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายไว้
แล้ว
สำหรับกลุ่มชนที่รำลึก
[6:127]
สำหรับพวกเขา
นั้น
คือนิวาสแห่งความปลอดภัย
ในพระผู้เป็นเจ้าจองพวกเขา
แลบะขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นผู้คึ้มครองพวกเขาด้วยเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากระทำ
[6:128]
และวันที่พระองค์ตจะทรงชุมชนพวกเขาไว้ทั้งหมด
(โดยตรัสขึ้นว่า)
หมู่ญิณทั้งหลาย
!
แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมาย
และบรรดาสหายของพวกเขาจนหมู่มนุษย์ได้กล่วว่าข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์บางส่สนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วน
และพวกข้าพระองค์ก็ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลา
ของพวกข้าพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคอที่อยู่ของพวกเจ้า
โดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาลนอกจากสิ่ง
ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้
[6:129]
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บางส่วนของผู้อธรรมทั้งหลายเป็นสหายกับอีกบางส่วน
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาขวนขวายกัน
[6:130]
หมู่ญินและมนุษย์ทั้งหลาย!
บรรดาร่อซู้ลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าดอกหรือ? โดยที่พวกเขาจะบอกเล่าแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาโองการของข้า
และเตือนพวกเจ้า
ซึ่งบรรดาโองการของข้า
และเพื่อนพวกเจ้า
ซึ่งการพบกับวัน
ของพวกเจ้านี้
พวกเขากล่าวว่า
พวกข้าพระองค์ขอยืนยันแก่ตัวของพวกเข้าพระองค์เอง
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา
และพวกเขาก็ได้ยืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองว่า
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[6:131]
นั่นก็เพราะว่า
พระเจ้าของเจ้านั้นมิเคยเป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายด้วยความอธรรม
โดยที่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่รู้อะไร
[6:132]
และสำหรับแต่ละคนนั้นมีหลายระดังชั้น
เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้และพระเจ้าของเจ้านั้นมิใช่เผลอไผลในสื่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:133]
และพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ทรงมั่งมี
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
หากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดสิ้นไป
และจะทรงให้สืบ
แทนจากพวกเจ้า
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ดังที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากลูหลานของกลุ่มชนอื่น
[6:134]
แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้
นั้นจะมาแน่นอน
และพวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้
[6:135]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ประชาชาติของฉันทั้งหลาย!
จงปฏิบัติตามสภาพ
ของพวกท่านเถิด
แท้จริงฉันก็จะเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
และพวกท่านจะได้รู้ว่าใครกัน
บั้นปลาย
แห่งปรโลกจะเป็นของเขา
แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
[6:136]
และพวกเขาได้ให้มีส่วนหนึ่งสำหรับอัลลอฮ์
ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้บังเกิดขึ้นอันได้แก่พืชและปศุสัตว์
โดยที่พวกเขากล่าวว่า
นี้สำหรับอัลลอฮ์ตามการอ้างของพวกเขา
และนี้สำหรับบรรดาภาคีของพวกเรา
แล้วส่วนที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขานั้นก็จะไม่ถึงอัลลอฮ์
แต่ส่วนที่เป็นของอัลลอฮ์นั้นจะถึงบรรดาภาคีของพวกเขา
ช่างชั่วช้าแท้
ๆ
สิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน
[6:137]
และในทำนองนั้นแหละ
บรรดาภาคีของพวกเขา
นั้น
ได้ทำให้สวยงามแก่จำวนมากมายในหมู่มุชริกีน
ซึ่งการฆ่าลุก
ๆ
ของพวกเขาเพื่อที่จะทำลายพวกเขา
แลเพื่อที่จะให้สับสนแก่พวกเขา
ซึ่งศาสนา
ของพวกเขา
และแม้ว่าอัลลอฮ์ประสงค์
แล้วพวกเขาย่อมไม่กระทำมันเจ้า
จงปล่อยพวกเขา
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จกันเถิด
[6:138]
และพวกเขากล่าว่า
นี้คือปศุสัตว์ปละพืชผลที่หวงห้ามไว้
ซึ่งไม่มีใครจะบริโภคมันได้นอกจากผู้ที่เราประสงค์
เท่านั้น ด้วยการอ้างของพวกเขา
และปศุสัตว์ที่หลังของมันถูกห้าม
และปศุสัตว์
ที่พวกเขาจะไม่กล่าวพระนามอัลลอฮ์บนมัน
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์
ความเท็จแก่พระองค์
ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนลบงโทษพวกเขาใฝนสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้น
[6:139]
และพวกเขากล่าวว่า
สิ่งที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์
เหล่านั้น
เฉพาะบรรดาผู้ชายของเราเท่านั้น
และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแก่บรรดาภรรยาของเรา
และหากว่ามัน
ตาย พวกเขา
พวกเขา
ก็เป็นผู้มีหุ้นส่วนในมัน
และพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา
ในการที่เขาได้กำหนดลักษณะไว้
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
ผู้ทรงรอบรู้
[6:140]
แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว
บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก
ๆ ของพวกเขา
เพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้
และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้เป็นปัจจัยบยังชีพแก่พวกเขา
ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปแลพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ
[6:141]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้มีขึ้น
ซึ่งสวนทั้งหลาย
ทั้งที่ถูกให้มีร้านขึ้น
และไม่ถูกให้มีร้านขึ้น
และต้นอินทผาลัม
และพืชโดยที่ผลของมันต่างๆ
กัน และต้นซัยตูน
และต้นทับทิมโดยที่มีความละม้ายคล้ายกัน
และไม่ละม้ายคล้ายกัน
จงบริโภคจากผลของมันเถิดเมื่ออกผลและจงจ่ายส่วนอันเป็นสิทธิ
ในมันด้วย
ในวันแห่งการเก็บเกี่ยวมัน
และจงอย่าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
[6:142]
และหลังจากหมู่ปศุสัตว์นั้น
(ได้ทรงให้มี)
ที่ใช้บรรทุก
และเชือด
จงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้เาถิดและจงอย่าตามก้าวเดิน
ของชัยฏอน
แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้งของพวกเจ้า
[6:143]
และ
(ได้ทรงให้มี)
สัตว์แปดตัวเป็นคู่
ๆ คือจากแกะสองตัว
และจากแพะสองตัว
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ตัวผู้สองตัว
นั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม
หรือว่า
ตัวเมียสองตัวนั้น
หรือว่าทีมดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้
พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง
หากพวกท่านพูดจริง
[6:144]
และจากอูฐสองตัว
และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ตัวผู้สองตัวนั้น
กระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้งสอง
นั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้
หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่
ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้
ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
เพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด
โดยไม่มีความรู้
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
[6:145]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น
มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน
นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเอง
หรือเลือดที่ไหลออก
หรือเนื้อสุกร
แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม
หรือเป็นสิ่งละเมิด
ซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน
ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน
โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหา
และมิใช่ผู้ละเมิด
แล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้ทรงอภัยโทษ
เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[6:146]
และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น
เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกัน
และจากวัวและแกะนั้น
เราได้ห้ามแก่พวกเขา
ซึ่งไขมันของมัน
นอกจากไขมันที่หลังของมัน
หรือลำไส้ได้อุ้มไว้
หรือที่ปะปนอยู่ที่กระดูกนั่นแหละ
เราได้ลงโทษพวกเขา
เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา
และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้พูดจริง
[6:147]
หากพวกเขาปฏิเสธเจ้า
ก็จงกล่าวเถิดว่าพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวาง
และการลงโทษของพระองค์นั้นจะไม่ถูกโต้กลับให้พ้นจากกลุ่มชนที่กระทำความผิด
[6:148]
บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นนั้นจะกล่าวว่าหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์
แล้วไซร้ พวกเราก็ย่อมไม่ให้มีภาคีขึ้น
และทั้งบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วย
และพวกเราก็ย่อมไม่ให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม
ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ได้มุสาแล้ว
จนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า ที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดกระนั้นหรือ
ฉะนั้นพวกเจ้าจงจะต้องนำมันออกมาให้แก่เรา
พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใด
นอกจากการคาดคิดเอาเท่านั้น
และพวกท่านไม่มีอื่นใด
นอกจากจะกล่าวเท็จเท่านั้น
[6:149]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง
หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว
แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด
[6:150]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า พวกท่านจงนำมาซึ่งบรรดาพยานของพวกท่านที่จะยืนว่า
แท้จริงฮัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสิ่งนี้
แล้วถ้าพวกเขา
(เป็นพยาน)
ยืนยัน
เจ้าก็อย่ายืนยันกับพวกเขาด้วยและอย่าตามความใคร่ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปกโลก
และขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้สิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระเจ้าของพวกเขา
[6:151]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าท่านทั้งหลายจงมากันเถิด
ฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ห้ามไว้แก่พวกท่านคือ
พวกเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจริง
ๆ และอย่าฆ่าลูกของพวกเจ้า
เนื่องจากความจนเราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า
และแก่พวกเขา
และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า
ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด
และอย่าฆ่าชีวิต
ที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้
นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้น
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา
[6:152]
และจงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้า
นอกจากด้วยวิถีทางที่ดียิ่ง
จนกว่าเขาจะบรรลุวัยฉกรรจ์
และจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งด้วยความเที่ยงตรง
เราจะไม่บังคับชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นและเมื่อพวกเจ้าพูด
ก็จงยุติธรรม
และแม้ว่าเขา
จะเป็นญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม
และต่อสัญญาของอัลลอฮ์นั้นก็จงปฏิบัติตามให้ครบถ้วย
นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[6:153]
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด
และอย่าปฏิบัติตามหลาย
ๆ ทาง
เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์
นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า
เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
[6:154]
แล้วเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาทั้งนี้เป็นการครบถ้วน
แก่ผู้ที่กระทำดี
และเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่าง
และเพื่อเป็นการแนะนำ
และเป็นการเอ็นดูเมตตา
เพื่อว่าพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อการพบกับพระเจ้าของพวกเขา
[6:155]
และนี้แหละคือคัมภีร์
ที่มีความจำเริญซึ่งเราได้ให้คัมภีร์ลงมายังเจ้า
จงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด
และจงยำเกรง
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา
[6:156]
(มิเช่นนั้น)
พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานลงมาให้แก่สองพวก
เท่านั้น
ก่อนหน้าพวกข้าพระองค์และแท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องในการอ่านของพวกเขา
[6:157]
หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น
หากได้มีคัมภีร์ถูกประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์แล้วไซร้
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ในคำแนะนำดียิ่งกว่าพวกเขา
แท้จริงนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้วจากพระเจ้าของพวกเจ้า
ซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้ง
และคำแนะนำและการเอ็นดูเมตตา
ดังนั้นใครเล่าคือผู้อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติบรรดาโองการของอัลลอฮ์และผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้น
เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ผินหลังให้แก่โองการทั้งหลายของเรา
ซึ่งการลงโทษอันชั่วช้า
เนื่องจากการที่พวกเขาผินหลังให้
[6:158]
พวกเขามิได้รอคอยอะไร
นอกจากการที่มลาอิกะฮ์จะมายังพวกเขา
หรือการที่พระเจ้าของเจ้าจะมา
หรือการที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้าจะมา
วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น
จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด
ซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน
หรือมิได้แสวงหาความดีใด
ๆ
ไว้ในการศรัทธาของเขา
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงรอกันเถิด
แท้จริงพวกเราก็เป็นผู้รอคอย
[6:159]
แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา
และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง
ๆ นั้นเจ้า
(มุฮัมมัด)
หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น
ย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[6:160]
ผู้ใดที่นำความดีมา
เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น
และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน
นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น
และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[6:161]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันนั้น
พระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
คือศาสนที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง
และเขา
(อิบรอฮีม) ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
[6:162]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงการละหมาดของฉัน
และการอิบาดะฮ์
ของฉัน
และการมีชีวิตของฉัน
และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
[6:163]
ไม่มีภาคีใด
ๆ แก่พระองค์
และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้
และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย
[6:164]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ที่ฉันจะแสวงหาพระเจ้า? ทั้ง
ๆ
ที่พระองค์นั้นเป็นพระเจ้าของทุกสิ่ง
และแต่ละชีวิตนั้นจะไม่แสวงหาสิ่งใด
นอกจากจะเป็นภาระแก่ชีวิตนั้นเองเท่านั้น
และไม่มีผู้แบกภาระคนใดจะแบกภาระของผู้อื่นได้แล้วยังพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
คือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
[6:165]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดิน
และได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้น
เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
เป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา