Al-A‘râf
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[7:1]
อะลิฟ
ลาม มีม ศอด
[7:2]
มีคัมภีร์ฉบับหนึ่ง
ซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า
ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า
ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน
(ผู้คน)
และเพื่อเป็นข้อเตือนใจ
แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[7:3]
พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด
และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใดๆ
อื่นจากพระองค์
ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรำลึก
[7:4]
และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันโดยที่การลงโทษของเราได้มายังเมืองนั้น
ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนในเวลาบ่าย
[7:5]
มิปรากฏว่า
พวกเขาวิงวอนขออื่นใดขณะที่การลงโทษของเราได้มายังพวกเขา
นอกจากการที่พวกเขากล่าว
(สารภาพ) ว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์เป็นผู้อธรรม
[7:6]
แน่นอนเราจะถามบรรดาผู้ที่ถูกร่อซู้ลไปยังพวกเขา
และแน่นอนเราจะถามบรรดาร่อซู้ลทั้งหลายด้วย
[7:7]
แน่นอนเราจะนำความรู้มาเล่าให้พวกเขาฟัง
และเราไม่เคยหายไปไหน
[7:8]
และการชั่งเป็นความจริงผู้ใดที่ตราชูของเขาหนักชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ
[7:9]
และผู้ใดที่ตราชูของเขาเบาชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ก่อความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
เนื่องจากการที่พวกเขามิได้ให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาโองการของเรา
[7:10]
และแท้จริงนั้น
เราได้ให้พวกเจ้ามีที่พำนักอยู่ในแผ่นดิน
และเราได้ให้มีขึ้นแก่พวกเจ้า
ซึ่งบรรดาเครื่องยังชีพในผืนแผ่นดินนั้น
ส่วนน้อยของพวกเจ้าเท่านั้นที่ขอบคุณ
[7:11]
และแท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้า
แล้วเราได้ให้พวกเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า
จงสุยูดแก่อาดัมเถิด
แล้วพวกเขาก็สุยูดกัน
นอกจากอิบลิสเท่านั้น
มิปรากฏว่ามันอยู่ในหมู่ผู้สุยูด
[7:12]
พระองค์ตรัสว่า
อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุยูด
ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า
มันกล่าวว่า
ข้าพระองค์ดีกว่าเขา
โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จาไฟ
และได้บังเกิดเขาจากดิน
[7:13]
พระองค์ตรัสว่า
จงลงจากสวนนั้นไปเสีย
ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น
จงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย
[7:14]
มันกล่าวว่า
โปรดผ่อนผันข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด
[7:15]
พระองค์ตรัสว่า
แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน
[7:16]
มันกล่าวว่า
ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด
แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา
ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์
[7:17]
แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขา
จากเบื้องหน้าของพวกเขา
และจากเบื้องหลังของพวกเขาและจากเบื้องขวาของพวกเขา
และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา
และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น
เป็นผู้ขอบคุณ
[7:18]
พระองค์ตรัสว่า
จงออกจากสวนนั้น
ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน
และถูกขับไล่
ข้าสาบานว่า
ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า
ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัมทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด
[7:19]
และพระองค์ตรัสว่า
อาดัมเอ๋ย !
ทั้งเจ้าและคู่ครองเจ้าจงอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด
แล้วจงบริโภค
ณ
ที่ใดก็ได้ที่เจ้าทั้งสองประสงค์และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้
(มิเช่นนั้นแล้ว)
เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่อธรรม
[7:20]
แล้วชัยฏอนก็ได้กระซิบกระซาบแก่ทั้งสองนั้นเพื่อที่จะเผย
แก่เขาทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปิดบังแก่เขาทั้งสองไว้
อันได้แก่สิ่งอันถึงละอายของเขาทั้งสอง
และมันได้กล่าวว่า
พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงหวงห้ามท่านทั้งสอง
ซึ่งต้นไม้ต้นนี้
(เพราะอื่นใด)
นอกจากการที่ท่านทั้งสองจะกลายเป็นมลาอิกะฮ์
หรือไม่ก็กลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาลเท่านั้น
[7:21]
และมันได้สาบานแก่ทั้งสองนั้นว่าแท้จริง)
นอยู่ในพวกที่แนะนำท่านทั้งสอง
[7:22]
แล้วเราก็ทำให้ทั้งสองนั้นตกอยู่ในสิ่งที่มันต้องการ
อันเนื่องจากการหลอกลวง
ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสต้นไม้ต้นนั้นแล้ว
สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง
ก็เผยให้ประจักษ์แก่เขาทั้งสอง
และเขาทั้งสองก็เริ่มปกปิดบน
(ส่วนที่น่าละอาย)
ของเขาทั้งสองจากใบไม้แห่งสวนสวรรค์
นั้น
และพระเจ้าของเขาทั้งสองจึงได้เรียกเขาทั้งสอง
(โดยกล่าวว่า)
ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับต้นไม้นั้นดอกหรือ? และข้ามิได้กล่าวแก่เจ้าทั้งสองดอกหรือว่า
แท้จริงชัยฏอน
นั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งแก่เจ้าทั้งสอง
[7:23]
เขาทั้งสองได้กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกเข้าพระองค์
พวกข้าพระองค์ได้อธรรมแก่ตัวของพวกข้าพระองค์เอง
แลถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์และเอ็นดูเมตตาแก่ข้าพระองค์แล้ว
แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็ต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน
[7:24]
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงลงกันไปโดยที่บางส่วนของพวกเจ้า
คือ
ศัตรูกับอีกบางส่วนและในแผ่นดินนั้นมีที่พำนัก
และสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าจนถึงระยะเวลาหนึ่ง
[7:25]
พระองค์ตรัสว่า
ในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่
และในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะตาย
และจากแผ่นดินนั้นและพวกเจ้าจะถูกออกมาอีก
[7:26]
ลูกหลานอาดัมเอ๋ย!
แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งเครื่องนุ่งห่มทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม
และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั่นคือสิ่งที่ดียิ่งนั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์
เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก
[7:27]
ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย!
จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้า
เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว
โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่มของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอายของเขาทั้งสองแท้จริงทั้งมัน
และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน
แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
[7:28]
และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ
พวกเขาก็กล่าวว่า
พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา
และอัลลอฮ์ก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก
พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?
[7:29]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงผินให้ตรงซึ่งใบหน้าของพวกเจ้า
ณ ทุก ๆมัสยิด
และจงวินวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้มอบอิบาดะฮ์ทั้งหลายแด่พระองค์โดยบริสุทธิ์ใจ
เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าแต่แรกนั้น
พวกเจ้าก็จะกลับไป
[7:30]
พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้
และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด
แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์
และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ
[7:31]
ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย
!
จงเอาเครื่องประดับกายของพวกเจ้า
ณ
ทุกมัสยิดและจงกินและจงดื่ม
และจงอย่าฟุ่มเฟือย
แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย
[7:32]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้าม
ซึ่งเครื่องประดับร่างกาย
จากอัลลอฮ์
ที่พระองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์
และบรรดาสิ่งดี
ๆ
จากปัจจัยยังชีพ
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมัด)
ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธา
ในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้
(และสำหรับพวกเขา)
โดยเฉพาะ
ในวันกิยามะฮ์
ในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายแก่ผู้ที่รู้
[7:33]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามนั้น
คือบรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ
ทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย
และสิ่งที่เป็นบาป
และการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม
และการที่พวกเจ้าให้เป็นภาคแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด
ๆ
ลงมาแก่สิ่งนั้น
และการที่พวกเจ้ากล่าวให้ภัยแก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้
[7:34]
และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่ง
ครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว
พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้
และจะขอให้เร็วไป
(สักชั่วโมงหนึ่ง)
ก็ไม่ได้
[7:35]
ลูกหลานอาดัมเอ๋ย
!
ถ้ามีบรรดาร่อซู้ลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้วผู้ใดที่ยำเกรงและปรับปรุงแก้ไขแล้วก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆแก่พวกเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
[7:36]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและแสดงโอหังเหล่านั้นชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
[7:37]
แล้วผู้ใดเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโหลกความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์
ชนเหล่านี้แหละส่วนของพวกเขาที่ถูกกำหนดไว้นั้นก็จะได้แก่พวกเขา
จนกว่าบรรดาฑูตของเราที่จะเอาชีวิตของพวกเขาได้มายังพวกเขาโดยกล่าวว่า
ไหนเล่าสิ่ง
ที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์? พวกเขาก็กล่าวว่า
เขาเหล่านั้นได้หายหน้าไปจากเราเสียแล้ว
และพวกเขาได้ยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า
พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
[7:38]
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงเข้าไปในหมู่ประชาชาติที่ได้ล่วงลับมาก่อนพวกเจ้าทั้งที่เป็นญิน
(บังเกิดมาจากไฟ)
และมนุษย์ ซึ่งอยู่ในไฟนรกนั้นเถิด
ทุกครั้งที่มีกลุ่มชนหนึ่งเข้าไป
พวกเขาก็สาปแช่งพี่น้องของพวกเขา
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้ไปทันกันในไฟนรกนั้นทั้งหมด
แล้ว
กลุ่มหลังสุดของพวก
เขาก็กล่าวแก่กลุ่มแรกของพวกเขาว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์
ชนเหล่านี้แหละได้ทำให้พวกข้าพระองค์หลงผิด
ดังนั้นโปรดได้ทรงนำมาแก่พวกเขา
ซึ่งการลงโทษสองเท่าจากไฟนรกด้วยเถิด
พระองค์ตรัสว่า
แต่ละกลุ่มนั้นจะได้รับสองเท่า
แต่ทว่าพวกเจ้าไม่รู้
[7:39]
และกลุ่มแรกของพวกเขา
ได้กล่าวแก่กลุ่มหลังว่า
พวกท่านไม่มีความที่เด่นใด
ๆ เหนือพวกเรา
ดังนั้นพวกท่านจงชิมการลงโทษ
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหากันไว้เถิด
[7:40]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่าง
ๆของเรา
และได้แสดงโอหังต่อโองการเหล่านั้น
บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา
และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์
จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้
และในทำนองนั้นแหละ
เราจะตอบแทนลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด
[7:41]
สำหรับพวกเขานั้น
คือ
ที่นอนจากนรกญะฮันนัม
และจากเบื้องบนของพวกเขานั้น
มีสิ่งคลุมครอบอยู่
และในทำนองนั้นแหละเราจะตอบแทนลงโทษแก่บรรดาผู้อธรรม
[7:42]
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นเราไม่บังคับชีวิตใด
นอกจากที่ชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นชนเกล่านี้แหละคือชาวสวรรค์
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นชั่วนิรันดร์
[7:43]
และเราได้ถอนออกซึ่งการผูกใจเจ็บที่อยู่ในหัวอกของพวกเขา
(คือชาวสวรรค์)
โดยมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่ภายใต้ของพวกเขาและพวกเขาได้กล่าวว่า
การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงแนะนำพวกเราให้ได้รับสิ่งนี้
และใช่ว่าพวกเราจะได้รับคำแนะนำก็หาไม่
หากว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงแนะนำแก่พวกเรา
แน่นอนบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเรานั้นได้นำความจริงมาและพวกเราได้ถูกป่าวร้องว่า
นั้นแหละคือสวนสวรรค์โดยที่พวกท่านได้รับมันไว้เป็นมรดก
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าเคยกระทำกันไว้
[7:44]
และชาวสวรรค์ได้ร้องเรียกชาวนรกว่าแท้จริงพวกเราได้พบแล้วว่าสิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เราไว้นั้นเป็นความจริง
และพวกท่านได้พบสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้เป็นความจริงไหม? พวกเขากล่าวว่า
เป็นความจริงแล้วมีผู้ประกาศคนหนึ่งได้ประกาศขึ้นในระหว่างพวกเขาว่า
ขอละอ์นัตของอัลลอฮ์จงมีแต่ผู้อธรรมทั้งหลายเถิด
[7:45]
คือบรรดาผู้ที่ขัดขวางทางของอัลลอฮ์
และปรารถนาให้ทางนั้นคดเคี้ยว
และต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาปฏิเสธศรัทธา
[7:46]
และระหว่างพวกเขานั้นมีกำแพงกั้น
และบนส่วนสูงของกำแหงนั้นมีบรรดาชายกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งพวกเขารู้จัก
(พวกนั้น)
ทั้งหมด
ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา
(ชาวสวรรค์)
และพวกเขาได้เรียกชาวสวรรค์
(โดยกล่าวว่า)
ขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดโดยที่พวกเขา
ยังมิได้เข้าสวนสวรรค์
ทั้ง ๆ
ที่พวกเขาก็ปรารถนาอย่างแรงกล้า
[7:47]
และเมื่อบรรดาสายตาของพวกเขาถูกหันไปทางชาวนรก
พวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
โปรดอย่าได้ทรงให้พวกข้าพระองค์ร่วมอยู่กับกลุ่มผู้อธรรมเหล่านั้นเลย
[7:48]
และบรรดาผู้ที่อยู่บนส่วนสูงของกำแพงนั้นได้ร้องเรียกชายกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขารู้จักพวกนั้นได้ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา
(ชาวนรก)
โดยกล่าวว่ามันย่อมไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านเลยซึ่งการสะสม
(ทรัพย์)
ของพวกท่านและการที่พวกท่านหยิ่งยะโส
[7:49]
ชนเหล่านี้ใช่ไหมคือผู้ที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ว่า
อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้ได้แก่พวกเขาซึ่งความเอ็นดูเมตตาใด
ๆ พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์กันเถิดโดยปราศจากความกลัวใด
ๆ แก่พวกเจ้า
และทั้งพวกเจ้าก็จะไม่เสียใจ
[7:50]
และชาวนรกได้ร้องเรียกชาวสวรรค์ว่า
จงเทน้ำมาให้แก่พวกเราด้วยเถิด
หรือไม่ก็สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่านด้วย
เขาเหล่านั้นกล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงให้สิ่งทั้งสองนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[7:51]
คือบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน
และเป็นของเล่น
เลแชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ก็ได้หลอกลวงพวกเขาด้วย
ดังนั้นวันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง
ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันของพวกเขานี้และการที่พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเขา
[7:52]
และแท้จริงนั้นเราได้นำคัมภีร์ฉบับหนึ่งมาให้แก่พวกเขาแล้ว
ซึ่งเราได้แจกแจงคัมภีร์นั้นด้วยความรอบรู้
ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อแนะนำ
และเป็นการเอ็นดูเมตตาแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา
[7:53]
เขาเหล่านั้นมิได้คอยอะไร
นอกจากผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์นั้นเท่านั้น
วันที่ผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์จะมานั้น
บรรดาผู้ที่ได้ลืมคัมภีร์มาก่อนจะกล่าวว่า
แท้จริงบรรดาร่อซู้ลแห่งพระเจ้าของเราได้นำความจริงมาแล้ว
มีบรรดาผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเราบ้างไหม
ซึ่งพวกเขาจะได้ขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา
หรือไม่ก็ให้พวกเราถูกนำกลับไปใหม่
แล้วพวกเราก็จะได้ปฏิบัติอื่นจากที่พวกเราเคยปฏิบัติมา
แน่นอนพวกเขาได้ยังความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง
และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นนั้นได้หายหน้าจากพวกเขาไป
[7:54]
แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น
คือ อัลลออฮืผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินภายในหกวัน
แล้วสถิตย์อยู่บนลังลังก์พระองค์ทรงให้กลางคืนครองคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว
และทรงสร้างดวงอาทิตย์
และดวงจันทร์
และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้กำหนดทำหน้าที่บริการ
ตามพระบัญชาของพระองค์
พึงรู้เถิดว่า
การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
มหาบริสุทธิ์อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:55]
พวกเจ้าจงวิงวอนต่อพระเตจ้าของพวกเจ้าในสภาพถ่อมตนและปกปิด
แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิด
[7:56]
และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน
หลังจากได้มีการปรับปรุงแกไขมันแล้วและจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรงและความปรารถนาอันแรงกล้า
แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
[7:57]
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงส่งลงมาเป็นข่าวดีเบื้องหน้าความเอ็นดูเมตตาของพระองค์จนกระทั่งเมื่อมันได้แบกเมฆอันหนักอึ้งไว้
เราก็นำมันไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง
แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น
แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บรรดาผู้ที่ตายแล้วออกมา
หวังว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
[7:58]
และเมืองที่ดีนั้นพืชของมันจะงอกออกมา
ด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของมัน
และเมืองที่ไม่ดีนั้นพืชของมันจะไม่ออกนอกจากในสภาพแกร็น
ในทำนองนั้นแหละ
เราจะแจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่ขอบคุณ
[7:59]
และแท้จริงเราได้ส่งนูฮ์ไปยังประชาชาติของเขา
แล้วเขาได้กล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉันจงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิดไม่มีผู้ได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน
[7:60]
บรรดาชนชั้นนำในหมู่ประชาชนของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเขาเห็นท่านอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[7:61]
เขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความหลงผิดใด
ๆ อยู่ที่ฉัน
แต่ทว่าฉัน
คือฑูตคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:62]
โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันจะชี้แจงและนำให้แก่พวกท่าน
และฉันรู้จากอัลลอฮ์สิ่งที่พวกท่านไม่รู้
[7:63]
และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่านเพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน
และเพื่อที่พวกท่านจะได้ยำเกรง
และเพื่อว่าพวกท่านจะได้รับการเอ็นดูเมตตา
[7:64]
แล้วพวกเขาได้ปฏิเสธนูฮ์
ภายหลังเรา
ได้ช่วยเขา
และบรรดาผู้ที่อยู่กับเขาในเรือให้รอดนั้น
และเราได้ให้บรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราจมน้ำ
แท้จริงพวกเขานั้นเป็นกลุ่มชนที่มืดบอด
[7:65]
และยังประชาชาติอ๊าดนั้น
เราได้ส่งฮูด
ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไปเขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
พวกท่านไม่ยำเกรงดอกหรือ?
[7:66]
บรรดาชนชั้นนำที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่ประชาชาติของเขาได้กล่าวว่า
แท้จริงเราเห็นท่านอยู่ในความโฉดเขลา
และแท้จริงพวกเราแน่ใจว่าท่านนั้นเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้มุสา
[7:67]
เขากล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน!
ไม่มีความโฉดเขลาใด
ๆ อยู่ที่ฉัน
แต่ทว่าฉันคือร่อซู้ลคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:68]
โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันนั้นเป็นผู้แนะนำที่ซื่อตรงแก่พวกท่าน
[7:69]
และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน
เพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน
และพวกท่านจงรำลึกเถิด
ขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผุ้สืบช่วงแทน
มาหลังจากประชาชาติของนูฮ์
และได้ทรงเพิ่มพละกำลังแก่พวกท่านในการบังเกิด
ดังนั้นพวกท่านถึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[7:70]
พวกเขากล่าวว่า
ที่ท่านมหาพวกเรานั้น
เพื่อว่าเราจะได้เคารพสักการะอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว
และละทิ้งสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราะคยเคารพสักการะมากระนั้นหรือ? จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเรามายังพวกเราเถิดหากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง
[7:71]
เขากล่าวว่า
แน่นอนได้เกิดขึ้นแล้วแก่พวกท่าน
ซึ่งการลงโทษ
และความกริ้วโกรธจากระเจ้าของพวกท่าน
พวกท่านจะโต้เถียงฉันในบรรดาชื่อ
ที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งมันขึ้นมาเอง
โดยที่อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด
ๆ
มาสำหรับชื่อเหล่านั้น
กระนั้นหรือ? ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยเถิดแท้จริงฉันร่วมกับพวกท่านด้วยในหมู่ผู้รอคอย
[7:72]
แล้วเราได้ช่วยเขา
และบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับเขาให้รอดพ้น
ด้วยความเอ็นดูเมตตาจากเรา
แลเราได้ตัดขาด
ซึ่งคนสุดท้ายของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา
และมิเคยปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา
[7:73]
และยังประชาชาติซะมูตนั้น
เราได้ส่งซอและฮ์ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป
เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์
แน่นอนได้มีหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้วนี้คืออูฐตัวเมัยของอัลลอฮ์ในฐานะเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันกินในแผ่นดินของอัลลอฮ์เถิด
และจงอย่าแตะต้องมันด้วยการทำร้ายใด
ๆเลยจะเป็นเหตุให้การลงโทษอันเจ็บแสบคร่าพวกท่านเสีย
[7:74]
และพวกท่านจงรำลึกขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทนมาหลังจากชาวอ๊าด
และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น
โดยยึดเอาจากที่ราบอขงมันเป็นวัง
และสกัดภูเขาเป็นเป็น
พวกท่านพึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิด
และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย
[7:75]
บรรดาชั้นชั้นนำที่แสดงโอหังจากประชาชาติของเขาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่ถูกนับว่าอ่อนแอ
(กล่าวคือ)
แก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขากล่าว่าพวกท่านรู้กระนั้นหรือว่า
แท้จริงซอและฮ์นั้นเป็นผู้ถูกส่งมาจากพระเจ้าของเขา
พวกเขากล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นผู้ศรัทธาต่อสิ่งที่เขาถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
[7:76]
บรรดาผู้ที่แสดงโอหังกล่าวว่า
แท้จริงเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
ต่อสิ่งที่พวกท่านได้ศรัทธากัน
[7:77]
และพวกเขาก็ตัดขาดอูฐตัวเมียตัวนั้นและได้ละเมิดคำสั่ง
แห่งพระเจ้าของพวกเจ้า
และได้กล่าวว่าโอ้ซอและฮ์
! จงนำสิ่ง
ที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเราไว้มาให้แก่พวกเราเถิด
ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซู้ล
[7:78]
และความไวอย่างแรงของแผ่นดินก็ได้เคร่าพวกเขา
แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา
[7:79]
แล้วเขาก็หันออกไปจากพวกนั้น
และกล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน
แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว
ซึ่งสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านด้วย
แต่ทว่าพวกท่านไม่ชอบบรรดาผู้ชี้แจงแนะนำ
[7:80]
และจงรำลึกถึงลูฏขณะที่เขาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า
ท่านทั้งหลายจะประกอบสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ
ซึ่งๆม่มีคนใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลายได้ประกอบมันมาก่อนพวกท่านกระนั้นหรือ?
[7:81]
แท้จริงพวกท่านจะสมสู่เพศชายด้วยตัณหาราคะอื่นจากเพศหญิงยิ่งกว่าพวกท่านยังเป็นพวกที่ละเมิดขอบเขตด้วย
[7:82]
และคำตอบแห่งประชาชาติของเขานั้นมิปรากฏเป็นอื่นใด
นอกจากการที่พวกเขากล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกเขาออกไปจากเมืองของพวกท่านเสีย
แท้จริงพวกเขาเป็นพวกที่บริสุทธิ์
[7:83]
และเราได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขาให้รอดพ้น
นอกจากภรรยาของเขาเท่านั้น
ซึ่งนางปรากฏอยู่ในหมู่ที่คงอยู่
(เพื่อรับการลงโทษ)
[7:84]
และเราได้ให้ฝนตกลงมาบนพวกเขาแล้วเจ้าจงดูเถิดว่า
ผลสุดท้ายของบรรดาผู้กระทำผิดนั้นเป็นอย่างไร?
[7:85]
และยังประชาชาติมัดยันนั้น
เราได้ส่งชุอัยบ์
ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป
เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน!
จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด
ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะสำหรับพวกท่านอีแล้วอื่นจากพระองค์
แท้จริงหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านนั้นได้มายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งเถิด
และจงอย่าให้ขาดแก่เพื่อมนุษย์ซึ่งบรรดาสิ่งของของพวกเขา
หลังจากที่มีการแก้ไขมันแล้ว
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกท่านหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
[7:86]
และพวกท่านอย่านั่งในทุกหนทาง
โดยทำการขู่และสกัดกั้นให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ผู้ซึ่งศรัทธาต่อพระองค์
และพวกท่านยังปรารถนาให้ทางของอัลลอฮ์คต
และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่านมีจำนวนน้อย
แล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกท่านมีจำนวนมากขึ้น
และพวกท่านจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้นเป็นอย่างไร?
[7:87]
และถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกท่านศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา
และอีกกลุ่มหนึ่งมิได้ศรัทธาแล้วก็จงอดทนไปเถิดจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงชี้ขาดระหว่างเรา
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย
PART 9
[7:88]
บรรดาชนชั้นนำที่แสดงโอหังจากประชาชาติของเขาได้กล่าวว่า
แน่นอนเราจะขับไล่ท่านออกไปโอ้ชุอัย!
และบรรดาผู้ที่ศรัทธากับท่านด้วยจากเมืองของเรา
หรือไม่ก็แน่นอนท่านจะต้องกลับมาในลัทธิของเรา
เขากล่าวว่า
แม้ว่าพวกเราจะเกลียดก็ตามกระนั้นหรือ?
[7:89]
แน่นอนพวกเราก็ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
หากพวกเรากลับไปในลัทธิของพวกท่านหลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากลัทธินั้นมาแล้ว
และไม่บังควรแก่พวกเราที่จะกลับไปในลัทธินั้นอีก
นอกจากอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเราจะทรงประสงค์เท่านั้น
พระเจ้าของพวกเรานั้นทรงมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่งทุกอย่าง
แด่อัลลอฮ์เท่านั้นที่พวกเราได้มอบหมายโอ้พระเจ้าของเราโปรดชี้ขาดระหว่งพวกเราและประชาชาติของเราด้วยความจริงเถิด
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย
[7:90]
และบรรดาบุคคลชั้นนำที่ปฏิเสธศรัทธา
จากหมู่ประชาชาติของเขาได้กล่าวว่า
แน่นอนถ้าหากพวกเจ้าปฏิบัติตามชุอัยบ์แล้ว
แน่นอนพวกท่านก็เป็นผู้ขาดทุนในทันที
[7:91]
แล้วความไหวอย่างแรงของแผ่นดินก็ได้คร่าพวกเขา
แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา
[7:92]
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธชุอัยบ์ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่เคยอยู่ในหมู่บ้านนั้น
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธชุอัยบ์นั้น
พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน
[7:93]
แล้วเขาก็หันออกไปจากพวกเขา
และกล่าวว่า
โอ้ประชาชาติของฉัน
แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว
ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน
และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านแล้วแล้วฉันจะเสียใจต่อกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาอย่างไร?
[7:94]
และเรามิได้ส่งนบีคนใดไปในเมืองหนึ่งเมืองใด
นอกจากเราได้ลงโทษชาวเมืองนั้น
ด้วยความแร้นแค้น
และการเจ็บป่วยเพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม
[7:95]
ภายหลังเราได้เปลี่ยนความดีแทนที่ความชั่วจนกระทั่งพวกเขามีมากและพวกเขากล่าวว่า
แท้จริงได้ประสบบรรพบุรุษของเรามาแล้วซึ่งความเดือดร้อน
และความสุขสบาย
แล้วเราจึงได้ลงโทษพวกเขาโดยกระทันหันขณะที่พวกเขาไม่รู้ตัว
[7:96]
และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธากันและมีความยำเกรงแล้วไซร้
แน่นอนเราก็เปิดให้แก่พวกเขาแล้ว
ซึ่งบรรดาความเพิ่มพูนจากฟากฟ้าและแผ่นดินแต่ทว่าพวกเขาปฏิเสธ
ดังนั้นเราจึงได้ลงโทษพวกเขา
เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้
[7:97]
แล้วชาวเมืองนั้นปลอดภัยกระนั้นหรือ? ในการที่การลงโทษของเราจะมายังพวกเขาในเวลากลางคืน
ขณะที่พวกเขานอนหลับอยู่
[7:98]
และชาวเมืองนั้นปลอดภัยกระนั้นหรือ? ในการที่การลงโทษของเราจะมายังพวกเขาในเวลาสายขณะที่พวกเขากำลังเล่นสนุกสนานกันอยู่
[7:99]
แล้วพวกเขาปลอดภัยจากอุบายของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ
ไม่มีใครมั่นใจว่าจะปลอดภัยจากอุบายของอัลลอฮ์
นอกจากกลุ่มชนที่ขาดทุนเท่านั้น
[7:100]
และก็ยังมิได้ประจักษ์แก่บรรดาผู้ที่ได้รับแผ่นดินสืบทอดหลังจากเจ้าของมันดอกหรือว่าหากเราประสงค์แล้วเราก็ให้ภัยพิบัติประสบแก่พวกเขาแล้ว
เนื่องด้วยบรรดาบาปกรรมของพวกเขาและเราจะประทับตราบนหัวใจของพวกเขา
แล้วพวกเขาก็จะไม่ได้ยิน
[7:101]
บรรดาเมืองเหล่านั้นหละ
เรากำลังเล่าให้เจ้าทราบถึงข่าวคราวของมัน
และแท้จริงนั้นบรรดาร่อซู้ลของพวกเขาได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว
แต่แล้วใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธาต่อสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธมาก่อนก็หาไม่
ในทำนองนั้นแหละ
อัลลอฮ์จะทรงประทับตราบนหัวใจของผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[7:102]
และเราไม่พบว่ามีสัญญาใดๆ
สำหรับส่วนมากของพวกเขา
และแน่นอนเราได้พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ละเมิด
[7:103]
แล้วหลังจากพวกเขาเราได้ส่งมูซาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง
ๆ ของเราไปยังฟิรอาวน์และบรรดาบุคคลชั้นนำของเขา
แต่พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณเหล่านั้น
ดังนั้นเจ้าจงมองดูเถิดว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้นเป็นอย่างไร?
[7:104]
และมูซาได้กล่าวว่า
โอ้ฟิรอาวน์!
แท้จริงฉันคือทูตที่มาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:105]
เป็นสิ่งสมควรในการ
ที่ฉันจะไม่กล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮ์
นอกจากความจริงเท่านั้น
แท้จริงฉันได้นำหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว
ดังนั้นจงส่งวงศ์วานอิสรออีลไปกับฉันเถิด
[7:106]
เขา
กล่าวว่า
หากท่านได้นำหลักฐานใด
ๆ มาก็จงนำมันมาเถิด
หากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง
[7:107]
แล้วเขาได้ชักมือของเขาออก
แล้วทันใดมันก็คืองูชัด
ๆ
[7:108]
และเขาได้ชักมือของเขาออก
แล้วทันมันก็ขาว
แก่บรรดาผู้ที่มองดูกัน
[7:109]
บรรดาบุคคลชั้นนำจากประชาชาติของฟิรเอาวน์ได้กล่าวว่า
แท้จริงผู้นี้คือมายากลที่รอบรู้
[7:110]
เขาต้องการที่จะขับไล่พวกท่านออกจากแผ่นดินของพวกท่าน
ดังนั้นพกวท่านจะใช้ให้ทำสิ่งใด
[7:111]
พวกเขากล่าวว่า
จงประวิงเขาและพี่ชายของเขาไว้ก่อน
และจงส่งคนไปรวบรวมในเมืองต่างๆ
[7:112]
พวกเขาก็จะนำมายังท่าน
ซึ่งนักมายากลทุกคนที่รอบรู้
[7:113]
และบรรดานักมายากลก็ได้มายังฟิรอาวน์โดยกล่าวว่า
แน่นอนพวกเราจะต้องได้รางวัลถ้าพวกเราเป็นผู้ชนะ
[7:114]
เขากล่าวว่า
ใช่แล้ว
และแท้จริงพวกท่านนั้นจะได้อยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด
[7:115]
พวกเขากล่าวว่า
โอ้มูซา!
ท่านจะโยนก่อนหรือว่าพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน
[7:116]
เขากล่าวว่า
พวกท่านจงโยนก่อนเถิดครั้นเมื่อพวกเขาได้โยนออกไป
พวกเขาก็ลวงตาประชาชนและทำให้พวกเขากลัว
และพวกเขานั้นได้นำมาซึ่งมายากลอันใหญ่หลวง
[7:117]
แลเราได้มีโองการแก่มูซาว่า
จงโยนไม้เท้าของเจ้า
แล้วทันใด
มันก็กลืนสิ่งที่พวกเขาลวงตาไว้
[7:118]
และความจริงก็ได้เกิดขึ้น
และสิ่งที่พวกเขากระทำกันขึ้นก็ตกไป
[7:119]
แล้วที่โน่นแหละพวกเขาก็ได้รับความพ่ายแพ้
และกลายเป็นผู้ต่ำต้อย
[7:120]
และบรรดานักมายากลก็ถูกทำให้ล้มตัวลงกราบ
(โดยความจริง)
[7:121]
โดยกล่าวว่า
พวกเราได้ศรัทธาแล้วต่อพระเจ้าแห่งสากลโลก
[7:122]
คือพระเจ้าของมูซา
และฮารูน
[7:123]
ฟิรเอาวน์กล่าวว่า
พวกท่านศรัทธาต่อเขาก่อนที่ข้าจะอนุมัติแก่พวกท่านกระนั้นหรือ
? แท้จริงนี้คืออุบายหนึ่งที่พวกท่าน
ได้วางแผนมันไว้ในเมือง
เพื่อที่จะขับไล่ชาวเมือง
ให้ออกไปจากเมืองเสีย
แล้วพวกท่านจะได้รู้
[7:124]
ข้าสาบานว่าข้าจะตัดมือของท่านและท้าของพวกท่านโดยสลับข้างกัน
แล้วข้าจะตรึงพวกท่านทั้งหมดไว้
(ที่ลำต้อนอินทผาลัม)
[7:125]
พวกเขากล่าวว่า)
แท้จริงพวกเราจะเป็นผู้กลับไปยังพระเจ้าของเรา
[7:126]
และท่านจะไม่แก้แค้นเรา
นอกจากว่าเราศรัทธาต่อบรรดาสัญญาณแห่งพระเจ้าของเราเท่านั้น
เมื่อมันได้มายังเรา
โอ้พระเจ้าของเราโปรดเทความอดทนลงมาบนพวกเราด้วยเถิด
และโปรดทรงให้พวกเราตายในฐานะผู้สวามิภักดิ์ด้วย
[7:127]
และบรรดาบุคคลชั้นนำจากประชาชาติของฟิรอาวน์ได้กล่าวว่า
ท่านจะปล่อยมูซาและพวกพ้องของเขาไว้เพื่อก่อความเสียหายในแผ่นดิน
และละเลยท่าน
และบรรดาที่เคารพสักการะของท่านกระนั้นหรือ
? เขากล่าวว่า
เราจะฆ่าบรรดาลูกชายของพวกเขาและไว้ชีวิตบรรดาหญิงของพวกเขาและแท้จริงเราเป็นผู้มีกำลังอำนาจเหนือพวกเขา
[7:128]
มูซาได้กล่าวแก่พวกพ้องของเขาว่า
จงขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮ์เถิด
และจงอดทนด้วย
แท้จริงแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์จะทรงให้มันสืบทอดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
จากปวงบ่าวของพระองค์
และบั้นปลายนั้นย่อมเป็นของผู้ยำเกรงทั้งหลาย
[7:129]
พวกเขากล่าวว่า
พวกเราได้รับการทารุณทั้งก่อนจากที่ท่าจะมายังพวกเราและหลังจากที่ท่าได้มายังเราเขากล่าวว่าหวังว่าพระเจ้าของพวกท่านจะทรงทำลายศัตรูของพวกท่าและจะทรงให้พวกท่าสืบช่วงแทนในแผ่นดินแล้วพระองค์จะทรงดูว่าพวกท่านจะทำอย่างไร?
[7:130]
และแน่นอนเราได้ลงโทษวงศ์วานของฟิรอาวน์ด้วยความแห้งแล้ง
และขาดแคลนผลไม้ต่างๆ
เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึก
[7:131]
ครั้นเมื่อความดีได้มายังพวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า
นี้คือสิทะของเรา
และหากความชั่วใด
ๆ
ประสบแก่พวกเขาพวกเขาก็ถือเอานบีมูซาเป็นลางร้าย
และผู้ที่ร่วมอยู่กับเขาด้วย
พึงรู้เถิดว่าที่จริงลางร้ายของพวกเขานั้นอยู่ที่อัลลอฮ์ต่างหากแต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
[7:132]
และพวกเขากล่าวว่า
ท่านจะนำสัญญาณหนึ่งสัญญาณใดมายังพวกเราอย่างไร
ก็ตามเพื่อที่จะลวงเราให้หลงเชื่อต่อสัญญาณนั้น
เราก็จะไม่เป็นผู้ศรัทธาต่อท่าน
[7:133]
แล้วเราได้ส่งน้ำท่วม
และตั๊กแตนและเหา
และกบ
และเลือดมาเป็นสัญญาณ
อันชัดเจนแก่พวกเขา
แต่แล้วพวกเขาก็แสดงโอหังและได้กลายเป็นกลุ่มชนที่กระทำความผิด
[7:134]
และเมื่อมีการลงโทษเกิดขึ้นแก่พวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า
โอ้มูซา!
จงขอต่อพระเจ้าของท่านให้แก่เราตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ที่ท่านเถิด
ถ้าหากท่านได้ปลดเปลื้องการลงโทษนั้นให้พ้นจากเราแล้ว
แน่นอนเราจะศรัทธาต่อท่านและแน่นอนเราจะส่งวงศ์วานอิศรออีลไปกับท่าน
[7:135]
ครั้นเมื่อเราได้ปลดเปลื้องการลงโทษนั้นให้พ้นจากพวกเขาไปยังกำหนดหนึ่ง
ซึ่งพวกเขาถึงกำหนดไปแล้ว
ทันใดพวกเขาก็ผิดสัญญา
[7:136]
แล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขา
โดยให้พวกเขาจมในทะเล
เนื่องด้วยพวกเขาได้ปฏิเสธสัญญาณต่างๆ
ของเรา
และพวกเขาจึงได้กลายเป็นที่ไม่ใส่ใจต่อสัญญาณต่างๆ
เหล่านั้น
[7:137]
และเราได้ให้เป็นมรดกแก่กลุ่มชนที่ถูกนับว่าอ่อนแอ
ซึ่งบรรดาทิศตะวันออกของแผ่นดิน
และบรรดาทิศตะวันตกของมัน
อันเป็นแผ่นดินที่เราได้ให้มีความจำเริญในนั้น
และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของเจ้าอันสวยงามยิ่งนั้นครบถ้วนแล้ว
แก่วงศ์วานอิสรออีล
เนื่องจากการที่พวกเขามีความอดทน
และเราได้ทำลายสิ่งที่ฟิรอาวน์
และพวกพ้องของเขาได้ทำไว้
และสิ่งที่พวกเขาได้ก่อสร้างไว้
[7:138]
และเราได้ให้วงศ์วานอิสรออีลข้ามทะเลไปได้แล้วพวกเขาก็มายังกลุ่มชนหนึ่ง
ซึ่งกำลังประจำอยู่ที่บรรดาเจว็ดของพวกเขา
พวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า
โอ้มูซา!จงให้มีขึ้นแก่พวกเราด้วยเถิดสิ่งซึ่งเป็นที่เคารพสักการะสักองค์หนึ่ง
เช่นเดียวกับที่พวกเขามีสิ่งที่เป็นที่เคารพสักการะหลายองค์เขากล่าวว่า
แท้จริงพวกท่านเป็นพวกที่โฉดเขลา
[7:139]
แท้จริงชนเหล่านี้แหละ
สิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะกันอยู่นั้นจะถูกทำลายและสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมาก็ไร้ผล
[7:140]
เขากล่าวว่า
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือที่ฉันจะแสวงหาสิ่งที่เคารพสักการะให้แก่พวกท่าน
ทั้งๆ
ที่พระองค์ได้ทรงเทิดพวกท่านเหนือประชาชาติทั้งหลาย
[7:141]
และจะรำลึกขณะที่เราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากพวกพ้องของฟิรอาวน์ดดยที่พวกเขาบังคับขู่เข็ญพวกเจ้า
ซึ่งการทรมานอันร้ายแรง
พวกเขาฆ่าบรรดาลูกผู้ชายของพวกเจ้า
และไว้ชีวิตบรรดาลูกผู้หญิงของพวกเจ้า
และในเรื่องนั้นคือการทดสอบอันสำคัญจากระเจ้าของพวกเจ้า
[7:142]
และเราได้สัญญาแก่มูซาสามสิบคืนแลเราได้ให้มันครบอีกสิบ
ดังนั้นกำหนดเวลาแห่งพระเจ้าของเราจึงครบสี่สิบคืน
และมูซาได้กล่าวแก่ฮารูนพี่ชายของเขาว่า
จงทำหน้าที่แทนฉันในหมู่ชนของฉัน
และจงปรับปรุงแก้ไข
และจงอย่าปฏิบัติตามทางของผู้ก่อความเสียหาย
[7:143]
และเมื่อมูซาได้มาตามกำหนดเวลาของเรา
และพระเจ้าของเขาได้ตรัสแก่เขา
เขาได้กล่าวขึ้นว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์
โปรดให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิด
โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์
พระองค์ตรัสว่า
เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด
แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขานั้นเถิด
ถ้าหากมันมั่นอยู่
ณ ที่ของมัน
เจ้าก็จะเห็นข้า
ครั้นเมื่อพระเจ้าของเขาได้ประจักษ์ที่ภูเขานั้น
ก็ทำให้มันทลายตัวลงอย่างราบเรียบ
และมูซาก็ล้มลงในสภาพหมดสติ
ครั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้น
เขาก็กล่าวว่ามหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน
ข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์
และข้าพระองค์นั้นคือคนแรกในหมู่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[7:144]
พระองค์ตรัสว่า
โอ้มูซา!
แท้จริงข้าได้เลือกเจ้าให้เหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
เนื่องด้วยบรรดาสารของข้า
และด้วยถ้อยคำของเขาดังนั้นจงยึดถือสิ่งที่ข้าได้ให้แก่เจ้า
และจงอยู่ในหมู่ผู้ขอบคุณ
[7:145]
และเราได้บันทึกคำตักเตือนจากทุกสิ่งและการแจกแจงในทุกอย่างไว้ให้แก่เขาในบรรดาแผ่นจารึก
ดังนั้นเจ้าจงยึดถือมันไว้ด้วยความเข้มแข็ง
และจงใช้พวกพ้องของเจ้าเถิด
พวกเขาก็จะยึดถือสิ่งที่ดีที่สุดของมันข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นที่อยู่ของผู้ละเมิด
ทั้งหลาย
[7:146]
ข้าจะหันเหออกจากบรรดาโองการของข้า
ซึ่งบรรดาผู้ที่ยะโสในแผ่นดินโดยไม่บังควรและแม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นสัญญาณทุกอย่างพวกเขาก็จะไม่ศรัทธาต่อสัญญาณนั้น
และหากพวกเขาเห็นทางแห่งความถูกต้อง
พวกเขาก็จะไม่ถือมันเป็นทาง
และหากพวกเขาเห็นทางแห่งความผิด
พวกเขาก็ยึดถือมันเป็นทาง
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเราและพวกเขาจึงได้เป็นผู้ละเลยโองการเหล่านั้น
[7:147]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
และการพบกับปรโลกนั้น
บรรดาการงานของพวกเขาย่อมไร้ผล
พวกเขาจะไม่ถูกตอบแทนนอกจากสิ่งที่พวกเขากระทำเท่านั้น
[7:148]
และพวกพ้องของมูซาได้ยึดถือลูกวัวที่เป็นรูปร่าง
ซึ่งทำมาจากเครื่องประดับของพวกเขา
หลังจากเขาซึ่งลุกวัวนั้นมีเสียงร้องพวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่าแท้จริงมันพูดกับพวกเขาไม่ได้
และมันก็แนะนำทางใดทางหนึ่งให้แก่พวกเขาไม่ได้ด้วย? พวกเขาได้ยึดถือลูกวัวนั้น
และพวกเขาจึงได้กลายเป็นผู้อธรรม
[7:149]
และเมื่อได้ถูกตกลงในเมืองของพวกเขาและพวกเขาได้เห็นว่าพวกเขาได้หลงผิดไปแล้ว
พวกเขาจึงกล่าวว่า
แน่นอนถ้าหากพระเจ้าของเรามิได้เอ็นดูเมตตาแก่เรา
และมิได้อภัยโทษให้แก่เราแล้ว
แน่นอนพวกเราก็จะต้องอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
[7:150]
และเมื่อมูซาได้กลับมายังพวกพ้องของเขาด้วยความโกรธ
และเสียใจเขาได้กล่าวว่า
ช่างเลวร้ายจริง
ๆ ที่พวกท่านทำหน้าที่แทนฉัน
หลังจากฉัน
พวกท่านด้วนกระทำก่อน
คำสั่งของพระเจ้าของพวกท่าน
กระนั้นหรือ?และเขาได้โยนบรรดาแผ่นจารึกลง
และจับศรีษะพี่ชายของเขา
โดยดึงมันมายังเขา
เขากล่าวว่า
โอ้ลูกแม่
แท้จริงพวกพ้องเหล่านั้นเห็นว่าฉันเป็นผู้อ่อนแอ
และพวกเขาเกือบจะฆ่าฉันแล้ว
ดังนั้นจงอย่าให้ศัตรูทั้งหลายดีใจ
ต่อสิ่งที่ประสบกับฉันเลยและจงอย่าให้ฉันร่วมอยู่
ในกลุ่มชนที่อธรรมเหล่านั้นเลย
[7:151]
เขากล่าวว่า
โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์โปรดอภัยโทษแก่ข้าพระองค์
และแก่พี่ชายของข้าพระองค์ด้วย
และโปรดได้ทรงให้พวกข้าพระองคืเข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตาของพระองค์เถิดและพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงเอ็นดูเมตตายิ่งกว่าผู้เอ็นดูเมตตาทั้งหลาย
[7:152]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ยึดลูกวัวนั้นจะได้แก่พวกเขา
ซึ่งความกริ้วโกรธจากระเจ้าของพวกเขา
และความต่ำช้าในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้
และในทำนองเดียวกัน
เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้อุปโลกน์ความเท็จขึ้น
[7:153]
และบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งที่ชั่ว
แล้วสำนึกผิดกลับตัวหลังจากนั้น
และศรัทธาแล้วไซร้แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
หลังจากนั้นแล้ว
แน่นอนย่อมเป็นผู้ทรงอภัยโทษทรงเอ็นดูเมตตา
[7:154]
และเมื่อความกริ้วโกรธได้สงบลงจากมูซา
เขาก็เอาบรรดาแผ่นจารึกนั้นไปและในสิ่งที่ถูกจารึกไว้ในมันนั้นมีคำแนะนำและความเอ็นดูเมตตาแก่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขา
[7:155]
และมูซาได้เลือกจากพวกพ้องของเขาซึ่งชายเจ็ดสิบคน
สำหรับกำหนดเวลาของเราครั้นเมื่อความไหวอันรุนแรงได้คร่าพวกเขา
เขากล่าวว่า
โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์
หากพระองค์ทรงประสงค์แล้ว
พระองค์ก็ทรงทำลายพวกเขาไปก่อนแล้ว
และข้าพระองค์ด้วย
พระองค์จะทรงทำลายพวกข้าพระองค์
เนื่องด้วยสิ่งที่บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่ผู้ข้าพระองค์ได้กระทำขึ้นกระนั้นหรือ? มันมิใช่อื่นใดดอก
นอกจากการทดสอบของพระองค์เท่านั้นพระองค์จะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงผิด
ไปเนื่องด้วยการทดสอบนั้นและจะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
พระองค์นั้นคือผู้ทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์
ดังนั้นโปรดได้ทรงอภัยให้แก่พวกข้าพระองค์
และเอ็นดูเมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
และพระองค์นั้นคือผู้ทรงเยี่ยมกว่าในหมู่ผู้ให้อภัยทั้งหลาย
[7:156]
และโปรดได้ทรงกำหนดความดีให้แก่พวกข้าพระองค์ในโลกนี้
และในปรโลกด้วยแท้จริงพวกข้าพระองค์สำนึกผิดและกลับมายังพระองค์แล้ว
พระองค์ตรัสว่า
การลงโทษของข้านั้น
ข้าจะให้มันประสบแก่ผู้ที่ข้าประสงค์
และการเอ็นดูเมตตาของข้านั้น
กว้างขวางทั่วทุกสิ่งซึ่งข้าจะกำหนดมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรง
และชำระซะกาต
และแก่บรรดาผู้ที่พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาโองการของเรา
[7:157]
คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามร่อซู้ลผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็นที่พวกเขา
พบเขาถูกจารึกไว้
ณ ที่พวกเขา
ทั้งในอัต-เตารอต
และในอัล-อินญีลโดยที่เขา
จะใช้พวกเขาให้กระทำในสิ่งที่ชอบและห้ามพวกเขามืให้กระทำในสิ่งที่ไม่ชอบและจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี
ๆ ทั้งหลาย
และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา
ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย
และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขา
ซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา
ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา
และให้ความสำคัญแก่เขาและช่วยเหลือเขา
และปฏิบัติตามแสงสว่างที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้
ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่สำเร็จ
[7:158]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
โอ้มนุษย์ทั้งหลาย!
แท้จริงฉันคือร่อซู้ลของอัลลอฮ์มายังพวกท่านทั้งมวล
ซึ่งพระองค์นั้นอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์
ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ
นอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย
ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็น
ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และดำรัสทั้งหลายของพระองค์
และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขา
เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ
[7:159]
และจากพวกพ้องของมูซานั้นมีกลุ่มหนึ่งที่แนะนำชี้แจงด้วยความจริง
และด้วยความจริงนั้นพวกเขาใก้ความเที่ยงธรรม
[7:160]
และเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็นสิบสองเหล่า
คือสิบสองกลุ่ม
และเราได้มีโองการแก่มูซาขณะที่พวกพ้องของเขาได้ขอน้ำจากเขาว่า
จงตีหินก้อนนั้นด้วยไม้เท้าของเจ้า
แล้วตาน้ำสิบสองตาก็พวยพุ่งขึ้นจากก้อนหินนั้น
แท้จริงกลุ่มชนแต่ละเหล่าย่อมรู้แหล่งน้ำดื่มของตน
และเราได้ให้เมฆบดบังพวกเขา
และเราได้ให้ลงมาแก่พวกเขาซึ่งของหวานและนกคุ่ม
พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากสิ่งที่ดี
ๆ เถิดและพวกเขาหาได้อธรรมแก่เราไม่
แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก
[7:161]
และเมื่อถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงอยู่ในเมืองนี้เถิด
และจงบริโภคจากเมืองนั้น
ณ
ที่ใดก็ได้ที่พวกเจ้าประสงค์
และจงกล่าวว่า
ฮิฏเฏาะฮ์และจงเข้าประตูนั้นไปในสภาพผู้โน้มศรีษะลงด้วยความนอบน้อม
เราก็จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาความผิดของพวกเจ้า
และเราจะเพิ่มพูนแก่บรรดาผู้กระทำความดี
[7:162]
แล้วบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้นได้เปลี่ยนเอาคำพูดหนึ่ง
ซึ่งมิใช่คำพูดที่ถูฏกล่าวแก่พวกเขาดังนั้นเราจึงได้ส่งการลงโทษจากฟากฟ้ามายังพวกเขาเนื่องจากที่พวกเขาละเมิด
[7:163]
และเจ้าจงถามพวกเขาถึงเมืองที่เคยอยู่ใกล้ทะเล
ขณที่พวกเขาละเมิดในวันสับบะโต
ทั้งนี้ขณะที่บรรดาปลาของพวกเขามายังพวกเขาในวันสับบะโตของพวกเขาในสภาพลอยตัวให้เห็นบนผิวน้ำ
และวันที่พวกเขาไม่ถือว่าเป็นวันสับบะโตนั้น
ปลาเหล่านั้นหาได้มายังพวกเขาไม่ในทำนองนั้นแหละเราจะทดสอบพวกเขา
เนื่องด้วยการที่พวกเขาละเมิด
[7:164]
และจงรำลึกขณะที่กลุ่มหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า
เพราะเหตุใดเล่าพวกท่านจึงตักเตือนกลุ่มชนที่อัลลอฮ์จะทรงเป็นผู้ทำลายพวกเขาหรือเป็นผู้ลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง? พวกเขากล่าวว่า
(การที่เราตักเตือนนั้น)
เพื่อเป็นข้ออ้างต่อพระเจ้าของพวกเจ้า
และเพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
[7:165]
ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนในสิ่งนั้น
เราก็ช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ห้ามปรามการทำชั่วให้รอดพ้นและได้จัดการแก่บรรดาผู้ที่อธรรมเหล่านั้น
ด้วยการลงโทษอันรุนแรงเนื่องด้วยการที่พวกเขาละเมิด
[7:166]
ครั้นเมื่อพวกเขาละเมิดสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามในสิ่งนั้นแล้ว
เราก็ประกาศิตแก่พวกเขาว่า
พวกเจ้าจงเป็นสิ่งที่ถูกขับไล่ให้ห่างไกล
[7:167]
และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้แจ้งให้ทราบว่า
แน่นอนพระองค์จะส่งมาให้มีอำนาจเหนือพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮ์
ซึ่งผู่ที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเขา
ด้วยการทรมานอันร้ายแรงแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น
ทรงเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
[7:168]
และเราได้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ
ในแผ่นดินจากพวกเขานั้นมีคนดี
และจากพวกเขานั้นมีอื่นจากนั้นและเราได้ทดสอบพวกเขาด้วยบรรดาสิ่งที่ดี
และบรรดาสิ่งที่ชั่ว
เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมา
[7:169]
แล้วได้มีกลุ่มชั่วกลุ่มหนึ่งสืบแทนหลังจากพวกเขา
ซึ่งได้รับช่วงคัมภีร์ไว้
โดยที่พวกเขารับเอาสิ่งเล็ก
ๆ น้อย ๆ แห่งโลกนี้
และกล่าวว่ามันจะถูกอภัยให้แก่เราและหากมีสิ่งเล็ก
ๆ น้อย ๆ
เยี่ยงเดียวกันนั้นมายังพวกเขา
พวกเขาก็รับเอามันอีก
มิได้ถูกเอาแก่พวกเขาดอกหรือ
ซึ่งข้อสัญญาแห่งคัมภีร์ว่า
พวกเขาจะไม่กล่าวพาดพิงเกี่ยวกับอัลลอฮ์
นอกจากความจริงเท่านั้น
และพวกเขาก็ได้ศึกษาสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์นั้นแล้ว
และที่พำนักแห่งปรโลกนั้นคือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ?
[7:170]
และบรรดาผู้ที่ยึดถือคัมภีร์
และดำรงไว้ซึ่งการละหมาดนั้น
แท้จริงเราจะไม่ให้สูญไปซึ่งรางวัลของผู้ปรับปรุงแก้ไขทั้งหลาย
[7:171]
และจงรำลึกขณะที่เราได้ให้ภูเขาลูกนั้นไหวตัว
และถอนตัวขึ้นเหนือพวกเขา
ประหนึ่งมันเป็นสิ่งที่ให้เงาร่มกระนั้น
และพวกเขาคิดว่ามันจะตกลงทับพวกเขา
พวกเจ้าจงยึดเอาสิ่งที่เราได้ให้ไว้แก่พวกเจ้าด้วยความเข้มแข็ง
และจงรำลึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในนั้น
หวังว่าพวกเจ้าจะเกรงกลัว
[7:172]
และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้เอาจากลูกหลานของอาดัม
ซึ่งลูก ๆ
ของพวกเขาจากหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง
(โดยตอบคำถามที่ว่า)
ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่ขอรับ
พวกข้าพระองค์ขอยืนยัน
(มิฉันนั้น)
พวกเจ้าจะกล่าวในวันกิยามะฮ์ว่า
แท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้
[7:173]
หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า
ที่จริงนั้นบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ได้ให้ภาคีขึ้นมาก่อนและพวกเรเาป็นลูกหลานที่มาหลังจากพวกเขา
แล้วพระองค์จะทรงทำลายพวกเรา
เนื่องด้วยการกระทำของบรรดาผู้ที่ทำให้เสียกระนั้นหรือ?
[7:174]
และในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย
เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมา
[7:175]
และจงอ่านให้พวกเขาฟัง
ซึ่งข่าวของผู้ที่เราได้ให้บรรดาโองการของเราแก่เขา
แล้วเขาได้ถอนตัวออกจากโองการเหล่านั้น
แล้วชัยฏอนก็ติดตามเขาดังนั้นเขาจึงอยู่ในหมู่ผู้หลงผิด
[7:176]
และหากเราประสงค์แล้ว
แน่นอนเราก็ยกเขาขึ้นและด้วยบรรดาโองการเหล่านั้น
แต่ทว่าเขาคงมั่นอยู่กับดินและปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของเขา
ดังนั้นอุปมาของผู้นั้น
จึงดั่งอุปไมยของสุนัขหากเจ้าขับไล่มัน
มันก็จะหอบแลบลิ้นห้อยลง
นั่นแหละคือ
อุปมากลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
ดังนั้นเจ้าจงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด
เพื่อว่าพวกเขาจะไดใคร่ครวญ
[7:177]
เป็นตัวอย่างที่ชั่วช้าจริงๆ
กลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
และก็ตัวของพวกเขานั้นเองพวกเขาอธรรมกันอยู่
[7:178]
ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงแนะนำนั้น
เขาก็เป็นผู้รับคำแนะนำ
และผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงผิดนั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน
[7:179]
และแน่นอนเราได้บังเกิดสำหรับญฮันนัม
ซึ่งมากมายจากญิน
และมนุษย์
โดยที่พวกเขามีหัวใจซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันทำความเข้าใจและพวกเขามีตา
ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มันมอง
และพวกเขามีหู
ซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันฟังชนเหล่านี้แหละประหนึ่งปศุสัตว์
ใช่แต่เท่านั้น
พวกเขาเป็นผู้หลงผิดยิ่งกว่า
ชนเหล่านี้แหละ
พวกเขาคือผู้ทีเผลอเรอ
[7:180]
และอัลลอฮ์นั้นมีบรรดาพระนามอันสวยงาม
ดังนั้นพวกเจ้าจงเรียกหากพระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้นเถิด
และจงปล่อยบรรดาผู้ที่ทำให้เฉ
ในบรรดาพระนามของพระองค์เถิด
พวกเขานั้นจะถูกตอบแทนในสิ่งที่พวกเขากระทำ
[7:181]
และส่วนหนึ่งจากผู้ที่เราได้บังเกิดนั้นคือ
คณะหนึ่ง
ซึ่งพวกเขาแนะนำด้วยความจริง
และด้วยความจริงนั้น
พวกเขาปฏิบัติโดยเที่ยงธรรม
[7:182]
และบรรดาผู้ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น
เราจะจัดการแก่พวกเขาเป็นขั้นตอนโดยที่พวกเขาไม่รู้
[7:183]
และข้าจะประวิงเวลาให้แก่พวกเขาแท้จริงอุบายของข้านั้นแข็งแรงนัก
[7:184]
และพวกเขามิได้ใคร่ครวญดอกหรือว่าที่สหายของพวกเขานั้นหาได้มีความบ้าใด
ๆ ไม่
เขามิใช่ใครอื่นนอกจากผู้ตักเตือนที่ชัดแจ้งคนหนึ่งเท่านั้น
[7:185]
และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงบังเกิดขึ้นดอกหรือ
? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า
กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้ว
แล้วก็ถ้อยคำใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันหลังจากอัลกุรอาน
[7:186]
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้หลงไปแล้วก็ไม่มีผู้แนะนำใด
ๆ สำหรับเขา
พระองค์จะทรงปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในการละเมิดของพวกเขา
[7:187]
พวกเขาจะถามเจ้าถึงยามอวสาน
(วันกิยามะฮ์)
นั้นว่า
เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น
? จงกล่าวเถิดว่าแท้จริง
ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉันเท่านั้นไม่มีใครจะเผยมันให้ทราบสำหรับเวลาของมันได้
นอกจากพระองค์เท่านั้น
มันหนักอึ้ง
อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
มันจะไม่มายังพวกเจ้า
นอกจากโดยกระทันหัน
พวกเขาถามเจ้ากันประหนึ่งว่าเจ้านั้นเป็นผู้ที่รู้ในเรื่องนั้นดี
จงกล่าวเถิดแท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้น
แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้
[7:188]
จงกล่าวเถิดว่า
(มุฮัมมัด)
ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด
ๆ และโทษใด ๆ
ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้
นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น
และหากฉันเป็นผู้ที่รู้สิ่งเร้นลับแล้ว
แน่นอนฉันก็ย่อมกอบโกยสิ่งที่ดีไว้มากมายแล้ว
และความชั่วร้ายก็ย่อมไม่ต้องฉันได้
ฉันมิใช้ใครอื่น
นอกจากผู้ตักเตือนและผู้ประกาศข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น
[7:189]
พระองค์นั้นคือผู้ที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากชีวิตเดียวและได้ทรงให้มีขึ้นจากชีวิตนั้น
ซึ่งคู่ครองของชีวิตนั้นเพื่อชีวิตนั้นจะได้มีความสงบสุขกับนาง
ครั้นเมื่อชีวิตนั้นได้สมสู่นาง
นางก็อุ้มครรภ์อย่างเบา
ๆ แล้วนางก็ผ่านมันไป
ครั้นเมื่อนางอุ้มครรภ์หนัก
เขาทั้งสองก็วิงวอนต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าของเขาทั้งสองว่า
ถ้าหากพระองค์ทรงประทานบุตรที่สมบูรณ์ให้ข้าพระองค์แล้ว
แน่นอนข้าพระองค์ก็อยู่ในหมู่ผู้ขอบคุณ
[7:190]
ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงประทานให้เขาทั้งสองซึ่งบุตรที่สมบูรณ์
เขาทั้งสอง
ก็ให้มีบรรดาภาคีขึ้นแก่พระองค์
ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เขาทั้งสอง
อัลลอฮ์นั้นทรงสูงเกินกว่าที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น
[7:191]
พวกเขา
จะให้สิ่งที่บังเกิดอันใดมีหุ้นส่วน
(กับพระองค์)
ทั้ง ๆ
ที่พวกมันถูกบังเกิดขึ้น
กระนั้นหรือ ?
[7:192]
และพวกมัน
ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใด
ๆ แก่พวกเขา
และทั้งไม่สามารถช่วยเหลือตัวของพวกมันเองด้วย
[7:193]
และหากพวกเจ้าเชิญชวนพวกเขาไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้อง
พวกเขาก็จะไม่ปฏิบัติตามพวกเจ้า
ย่อมมีผลเท่ากันแก่พวกเจ้า
พวกเจ้าจะเชิญชวนพวกเขา
หรือพวกเจ้าจะนิ่งเฉยอยู่ก็ตาม
[7:194]
แท้จริงบรรดาผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์นั้นคือ
ผู้ที่เป็นบ่าวเยี่ยงพวกเจ้านั้นเอง
จงวิงวอนขอต่อพวกเขาเถิด
แล้วจงให้พวกเขาตอบรับพวกเจ้าด้วย
หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
[7:195]
พวกมันมีเท้าที่ใช้มันเดินกระนั้นหรือ
? หรือว่าพวกมันมีมีที่ใช้มันจัดการอย่างรุนแรง
หรือว่าพวกมันมีตาที่ใช้มอง
หรือว่าพวกมันมีหูที่ใช้มันฟัง
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงวิงวอนขอต่อบรรดาภาคีของพวกเจ้าเถิดแล้วจงวางอุบายแก่ฉันด้วย
จงอย่าได้ประวิงเวลาให้แก่ฉันเลย
[7:196]
แท้จริงผู้คุ้มครองฉันนั้นคือ
อัลลอฮ์ผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมา
และในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงคุ้ครองบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
[7:197]
และบรรดาผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้น
พวกมันไม่สามารถจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้
และไม่สามารถช่วยเหลือตัวของพวกมันเองด้วย
[7:198]
และหากพวกเจ้าวิงวอนพวกมันให้ช่วยนำไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้อง
พวกมันก็ไม่ได้ยินและเจ้าจะเห็นพวกมันมองมายังเจ้า
ทั้ง ๆ
ที่พวกมันมองไม่เห็น
[7:199]
เจ้า
(มุฮัมมัด)
จงยึดถือไว้ซึ่งการอภัย
และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ
และจงผินหลัง
ให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด
[7:200]
และหากมีการยั่วยุใด
ๆ
จากชัยฏอนกำลังยั่วยุเจ้าอยู่
ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์เถิด
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
[7:201]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น
เมื่อมีคำชี้นำใด
ๆ
จากชัยฏอนประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็รำลึกได้แล้วทันใดพวกเขาก็มองเห็น
[7:202]
และพี่น้องของพวกมันนั้นจะช่วยเหลือพวกมันในการหลงผิด
แล้วพวกเขาก็จะไม่ลดละ
[7:203]
และเมื่อมิได้มีอายะฮ์ได้มายังพวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า
ไฉนเล่าท่านจึงไม่อุปโลกน์มันขึ้นเอง
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงฉันจจะปฏิบัติตามเฉพาะสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันจากพระเจ้าของฉันเท่านั้น
นี่คือบรรดาหลักฐาน
จากพระเจ้าของพวกเจ้า
และ (นี้คือ)
ข้อแนะนำและการเอ็นดูเมตตาแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา
[7:204]
และเมื่ออัลกุรอานถูกอ่านขึ้น
ก็จงสดับฟังอัลกุรอานนั้นเถิด
และจงนิ่งเงียบ
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการเอ็นดูเมตตา
[7:205]
และเจ้า
(มุฮัมมัด)
จงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้าในใจของเจ้าด้วยความนอบน้อมและยำเกรงและโดยไม่ออกเสียงดัง
ทั้งในเวลาเช้าและเย็นและจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้ที่เผลเรอ
[7:206]
แท้จริงบรรดา
ผู้ที่อยู่ที่พระเจ้าของเจ้านั้น
พวกเขาจะไม่หยิ่งต่อการเคารพสักการะพระองค์
และกล่าวให้ความบริสุทธิ์แก่พระองค์และแด่พระองค์เท่านั้น
พวกเขากราบกรานกัน