Al ‘Imrân
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์
ผู้ทรงเมตตา
ผู้ทรงปรานี
[3:1]
อะลิฟ
ลาม มีม
[3:2]
อัลลอฮ์นั้นคือ
ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงมีชีวิตอยู่เสมอ
(ไม่มีกาลอวสาน)
ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลายเป็นเนืองนิจ
(ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและทรงบังเกิด)
[3:3]
พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้น
(อัลกุรอาน)
ลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราว
พร้อมด้วยความจริง
เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้า
(คัมภีร์อัตเตารอต
และอัล-อินญีลที่ถูกประทานลงมาก่อนอัลกุรอาน)
คัมภีร์นั้น
และได้ทรงประทานอัตเตารอต
และอัล-อินญีล
[3:4]
(ให้มี)
มาก่อน
ในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์
และได้ประทานอัลฟุรกอนมาด้วย
แท้จริงผู้ได้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์นั้น
พวกเขาจาได้รับโทษอันรุนแรง
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงทำการลงโทษ
[3:5]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้น
ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินจะซ้อนเร้นพระองค์ไปได้
และทั้งไม่มีในฟากฟ้าด้วย
[3:6]
พระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกเจ้ามีรูปร่างขึ้นในมดลูก
ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่สิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[3:7]
พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า
โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน
(เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือนๆกันโดยไม่ต้องตีความ)
ซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์
(เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศัทธาและในข้อปฏิบัติของมนุษย์และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย)
และมีโองการอื่นๆอีกที่มีข้อความเป็นนัย
(มีข้อความเป็นเชิงเปรียบเทียบ
อาจเข้าใจได้หลายทาง
ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้)
ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีความเอนเอียงออกจากความจริงนั้น
เขาาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์
ทั้งนี้
เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย
(เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ศรัทธาด้วยการตีความโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน)
และเพื่อการแสวงหาการตีความในโองการเท่านั้น
(คือเพื่อแสวงหาการตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ
โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮที่ข้อความชัดเจนหรือไม่)
และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์
และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น
(มีพื้นฐานความรู้อย่างมั่นคง
เกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆของพระองค์
(ศิฟาต)
และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวางด้วย)
โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า
พวกเราศัทธาต่อโองการนั่น
ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น
และไม่มีใครที่จะได้รับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น
[3:8]
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
!โปรดอย่าให้หัวใจของพวกเราเอนเอียงออกจากความจริงเลยหลังจากที่พระองค์ได้ทรงแนะนำแก่พวกเราแล้วและโปรดได้ประทานความเอ็นดูเมตตา
จากที่ที่พระองค์ให้แก่พวกเราด้วยเถิดแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย
[3:9]
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ชุมนุมมนุษย์ทั้งหลายในวันหนึ่งซี่งไม่มีการสงสัยใดๆ
ในวันนั้น
(หมายถึงวันกิยามะฮ์)
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงผิดสัญญา
[3:10]
แท้จริงผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธานั้น
ทรัพย์สมบัติของพวกเขาและลูกๆของพวกเขานั้น
จะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลย
และชนเหล่านี้แหละคือเชื้อเพลิงแห่งไฟนรก
[3:11]
เช่นเดียวกับสภาพความเคยชินของวงศ์วานอิสรออีล
และบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา
เพราะบาปกรรมของพวกเขาเอง
เละอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษอันรุนแรง
[3:12]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า
พวกท่านจะได้รับความปราชัย
(แล้วพระองค์ก็ทรงให้คำประกาศของนบีมุฮัมมัด
เป็นความจริงโดยให้ฝ่ายมุสลีมีนทำการฆ่า
บะนีกุร็อยเซาะฮ
ตระกูลหนึ่งของยิว
เนื่องจากทุจริตในคำมั่นสัญญา
และทำการบังคับให้
บะนีอันนะฎีร
อีกตระกูลหนึ่งของยิว
อพยพไปจากมะดีนะฮ)
และ (ในวันปรโลก)
พวกท่านจะถูกต้อนไปสู่ญะฮันนัม
และเป็นที่นอนอันเลวร้ายยิ่ง
[3:13]
แน่นอนได้มีสัญญาณหนึ่งปรากฎแก่พวกเจ้าแล้ว
ซึ่งอยู่ในสองฝ่ายที่เผญิชหน้ากันฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์
(คือฝ่ายมุสลิมีน)
และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
(คือฝ่ายมุชริกีนมักกะฮ์)
ซึ่งเห็นเขาเหล่านั้น
(คือเห็นฝ่ายมุสลิมีน,กล่าวคือฝ่ายมุชริกีนเห็นไปว่าฝ่ายมุสลิมีนมีมากกว่าพวกเขาถึง 2 เท่า
ทั้งๆที่ฝ่ายมุสลิมีนมีน้อยกว่าพวกเขาเกือบสองเท่า
คือมี 313
คน
ส่วนฝ่ายมุชริกีนมี
950 คน
อันเป็นเหตุให้พวกเขาเสียขวัญ
และแพ้ฝ่ายมุสลิมีน
ในการสู้รบกันครั้งนี้ฝ่ายมุชรีกีนถูกฆ่าตาย
70 คน
และถูกจับเป็นเชลย
70 คน
ฝ่ายมุสลิมีนเสียชีวิต
14 คน)
ด้วยตาตนเองเป็นสองเท่าของพวกเขา
แ ละอัลลอฮ์นั้นจะทรงสนับสนุนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์
แท้จริงในสิ่งที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้มีดวงตา
ทั้งหลาย
[3:14]
ได้ถูกทำให้สวยงาม
(ลุ่มหลง)
แก่มนุษย์ซึ่งความรักในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์อันได้แก่ผู้หญงและลูกชาย,ทองและเงินอันมากมาย
และม้าดีและปศุสัตว์
และไร่นา
นั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น
และอัลลอฮ์นั้นณ
พระองค์
คือที่กลับอันสวยงาม
[3:15]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าจะให้ฉันบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นไหม? คือผู้ที่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น
ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา-พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์
ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื่องล่าง
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและจะได้รับบรรดาคู่ครองที่บริสุทธิ์
และความพึงใจจากอัลลอฮ์ด้วย
และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นบรรดาบ่าวทั้งหลาย
[3:16]
คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์แท้จริงของพวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว
โปรดทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และโปรดได้ทรงป้องกันพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากไฟนรกด้วย
[3:17]
บรรดาผู้ที่อดทน
และบรรดาผู้ที่พูดจริง
และบรรดาผู้ที่ภักดี
และบรรดาผู้ที่บริจาคและบรรดาผู้ที่ขออภัยโทษในยามใกล้รุ่ง
(คือก่อนฟะญัร์ขึ้น
หมายถึงผู้ที่สละความสุขในยามนั้น
โดยลุกขึ้นละหมาด
ตะฮัจญุด
และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์)
[3:18]
อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า
แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น
และมลาอิกะฮ์
และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น
ก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด
ๆ
นอกจากพระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น
[3:19]
แท้จริงศาสนา
ณ อัลลอฮ์
นั้นคือ
อัลอิสลาม
(หมายถึงศาสนาแห่งการเชื่อฟัง
และปฏิบัติโดยปราศจากการขัดแย้ง)
และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
(หมายถึงยิวและคริสต์)
มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้มีความรู้
(หมายถึงความรู้จากอัลกุรอาน
ที่ท่านนบีนำมา)
มายังพวกเขาเท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้
แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ
[3:20]
แล้วหากพวกเขาโต้แย้งว่า
ก็จงกล่าวเถิดว่าฉันได้มอบใบหน้า
(ร่างกาย)
ของฉันแด่อัลลอฮ์แล้ว
และผู้ที่ปฏิบัติตามฮฉัน
(ก็มอบ)
ด้วยและจงกล่าวเก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
และบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็น
(คือพวกมุชรีกินมักกะฮ์)
ว่า พวกท่านมอบ
(ใบหน้าแด่อัลลอฮ์)
แล้วหรือ? ถ้าหากพวกเขาได้มอบแล้วแน่นอนพวกเขาก็ได้รับแล้วซึ่งแนวทางอันถูกต้องและถ้าหากพวกเขาผินหลังให้
แท้จริงหน้าที่ของเจ้านั้นเพียงการประกาศให้ทราบเท่านั้น
(คือไม่มีหน้าที่บังคับให้ศรัทธา)
และอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงเห็นป่วงบ่าวทั้งหลาย
[3:21]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
(หมายถึงชาวยิว)
ต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์
และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม
และฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรม
จากหมู่ประชาชนนั้น
(คือฆ่าประชาชนที่เรียกร้องให้มีความยุติธรรม
จากหมู่ประชาชนนั้น
(การแจ้งข่าวการลงโทษด้วยคำว่าข่าวดี
นั้นเป็นการปรามที่รุนแรงยิ่งแก่
ผู้ที่ดื้อดัน)
แก่พวกเขาเถิด
ด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ
[3:22]
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้
และปรโลกและจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาเลย
[3:23]
เจ้า
(มุฮำมัด)
มิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์
(คือพวกยิวนั้นจดจำเพียงส่วนหนึ่งของคัมภีร์เตารอตเท่านั้น
เพราะส่วนอื่นๆของคัมภีร์ได้สูญหายไปบ้าง
และถูกบิดเบือนบ้าง)
ดอกหรือ?โดยที่พวกเขาถูกเชิญชวนไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์
(หมายถึงคัมภีร์เตารอต)
เพื่อคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขา
(พวกผิดประเวณี)
แล้วกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็ผินหลังให้และพวกเขาก็กำลังผินหลังให้อยู่
[3:24]
นั่นก็เพราะพวกเขากล่าวว่า
ไฟนรกนั้นจะไม่แตะต้องพวกเราเลย
นอกจากบรรดาวันที่ถูกนับไว้
(คือเพียง 40
วันเท่านั้น
อันเป็นระยะเวลาที่พวกเขาสักการะลูกวัว
ทั้งนี้เป็นความเข้าใจผิดของพวกเขา)
และสิ่งที่พวกเขากุขึ้นในศาสนาของพวกเขานั้น
(คือกุขึ้นว่าพวกเขาเป็นพระบุตรของพระอัลลอฮ์
และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์)
ได้หลอกลวงพวกเขาให้หลงเชื่อ
[3:25]
แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
เมื่อเราได้ชุมนุมพวกเขาไว้สำหรับวันหนึ่ง
(คือเป็นวันกิยามะฮ์อันเป็นวันฟื้นคืนชีพ)
ซึ่งในวันนั้นไม่มีการสงสัยใดๆ
และแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งมีชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้
โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรม
[3:26]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าข้าแต่อัลลอฮ์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง!
พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์
ของพระองค์
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:27]
พระองค์ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน
และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืนและทรงให้สิ่งมีชีวิต
ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต
และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต
และทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ
[3:28]
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น
จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุอ์มิน
และผู้ใดกระทำเช่นนั้น
เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์
(กล่าวคือถ้ามุอ์มินคนใดเอาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรรู้เห็นความลับต่างๆของมุสลีมีนแล้ว
เขาไม่ได้ตั้งอยู่ในศาสนาของอัลลอฮ์
แต่อย่างใด)
นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน
(ให้พ้นอันตราย)
จากพวกเขาจริงๆเท่านั้น
และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป
(ของพวกเจ้า)
[3:29]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
หากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในอกของพวกท่าน
หรือเปิดเผยมันก็ตาม
อัลลอฮ์ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งนั้นดีและทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และทุกสิ่งอยู่ในแผ่นดิน
และอัลัลอฮนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:30]
วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า
และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย
แต่ละชีวิตนั้นชอบ
หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล
และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย
[3:31]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์
ก็จงปฏิบัติตามฉัน
อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน
และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[3:32]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าพวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลเถิด
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
[3:33]
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงคัดเลือก
อาดัมและนูห์
และวงศ์วานของอิบรอฮีม
และวงศ์วานของอิมรอนให้เหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
[3:34]
เป็นเผ่าพันธ์
ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกันและกัน
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[3:35]
จงรำลึกถึงขณะที่ภรรยาของอิมรอน
(นางฮันนะฮ)
กล่าวว่า
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์!
แท้จริงข้าพระองค์ได้บนไว้ว่าให้สิ่ง
(บุตร)
ที่อยู่ในครรภ์ของข้าพระองค์ถูกเจาะจงอยู่ในฐานะผู้เคารพอิบาดะฮต่อพระองค์และรับใช้พระองค์เท่านั้น
ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับจากข้าพระองค์ด้วยเถิด
แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[3:36]
ครั้นเมื่อนางได้คลอดบุตร
นางก็กล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์!
แท้จริงข้าพระองค์ได้คลอดบุตรเป็นหญิง
และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งกว่าถึงบุตรที่นางได้คลอดมา
และใช่ว่าเพศชายนั้นจะเหมือนกับเพศหญิงก็หาไม่
และข้าพระองค์ได้ตั้งชื่อเขาว่า
มัรยั ม
แล้วข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ทรงคุ้มครองนางให้ทรงคุ้มครองนาง
และลูกของนางให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกขับไล่
[3:37]
แล้วพระเจ้าของนางก็ทรงรับมัรยัมไว้อย่างดี
และทรงให้นางเจริญวัยอย่างดีด้วยและได้ทรงให้ซะกะรียาอุปการะนาง
คราใดที่ซะกะรียาเข้าไปหาที่อัลมิหรอบ
เขาก็พบปัจจัยยังชีพ
อยู่ที่นาง
เขากล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย!
เธอได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร? นางกล่าวว่า
มันมาจากที่อัลลอฮ์
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคิดคำนวณ
[3:38]
ที่โน่นแหละ
ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
โปรดได้ทรงประทานแก่ข้าพระองค์
ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน
[3:39]
และมลาอิกะฮ์ได้เรียกเขา
ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ในอัลมิหรอบว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่ท่าน
ด้วยยะหยา (คือแจ้งข่าวดีว่าท่านจะได้บุตร
ชื่อ ยะหยา)
โดยที่จะเป็นผู้ยืนยันพจมานหนึ่งจากอัลลอฮ์
และจะเป็นผู้นำ
และผู้รักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์
และเป็นนบีคนหนึ่งจากหมู่ชนที่เป็นคนดี
[3:40]
เขา
(นบีซะกะรียา)
กล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร
โดยที่ความชราภาพได้มาถึงข้าพระองค์แล้ว
และภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วย
พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตามอัลลอฮ์จะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์
[3:41]
เขากล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์!
โปรดได้ทรงให้มีสัญญาณหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้านั้นคือเจ้าจะไม่สามารถพูดแก่ผู้คนเป็นเวลาสามวัน
(หมายถึงสามคืนด้วย)
นอกจากด้วยการแสดวงท่าทางเท่านั้น
และจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามากๆ
และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า
[3:42]
และจงรำลึก
ขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย่!
แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกเธอและทรงทำให้เธอบริสุทธิ์
และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย
[3:43]
มัรยัมเอ๋ย!
จงภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าเถิด
และจงสุญูดและรุกูอ
ร่วมกับบรรดาผู้รุกูอทั้งหลาย
[3:44]
นั้นคือส่วนหนึ่งจากบรรดาข่าวของสิ่งเล้นลับ
ซึ่งเราชี้แจงให้เจ้า
(คือท่านนบีมุฮัมมัด)
ทราบ
และเจ้ามิได้อยู่
ณ ที่พวกเขา (หมายถึงพวกพระในโบสถ์)
ขณะที่พวกเขาโยนเครื่องเสี่ยงทายของพวกเขา
(เพื่อทราบว่า)
ใครในหมู่พวกเขาจะได้รับอุปการะมัรยัม
และเจ้ามิได้อยู่
ณ
ที่พวกเขาโต้เถียงกัน
[3:45]
จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า
มัรยัมเอ๋ย !
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่ง
จากพระองค์
ชื่อของเขาคือ
อัลมะซีห์
อีซาบุตรของมัรยัม
โดยที่เขาจะเป็นผู้มีเกียรติในโลกนี้
และปรโลก
และจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด
[3:46]
และเขา
(หมายถึงนบีอีซา)
จะพูดแก่ผู้คนขณะอยู่ในเปล
และในวัยกลางคน
และจะอยู่ในหมู่คนดี
[3:47]
นางกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร
ทั้งที่มิได้มีบุรุษใดแตะต้องข้าพระองค์
พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตาม
อัลลอฮ์จะทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
เมื่อพระองค์ทรงชี้ขาดงานใดแล้ว
พระองค์ก็เพียงประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า
จงเป็นขึ้นเถิดแล้วมันจะเป็นขึ้น
[3:48]
และพระองค์ก็จะทรงสอนเขา
ซึ่งการเขียน
และความรู้อันถูกต้อง
และสอนอัตเตารอตและอันอินญีล
[3:49]
และเป็นฑูต
(นบีอีซา)
ไปยังวงศ์วานอีสรออีล
(โดยที่เขาจะกล่าวว่า)
แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่านดั่งรูปนก
แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน
แล้วมันก็จะกลายเป็นนกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์
และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด
และคนเป็นโรคเรื้อน
และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น
ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์
และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านไว้ในบ้านของพวกท่าน
แท้จริงในนั้นมีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน
หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
[3:50]
และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน
อันได้แก่
อัตเตารอต
และเพี่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่าน
ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่าน
และฉันได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของท่านมายังพวกท่านแล้ว
ดังนั้นจึงยำเกรงอันลอฮเถิด
และจงเชื่อฟังฉัน
[3:51]
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ
พระเจ้าของฉัน
และพระเจ้าของพวกท่านดังนั้น
จงอิบาดะฮต่อพระองค์เถิด
นี้แหละคือทางอันเที่ยงตรง
[3:52]
ครั้งเมื่ออีซารู้กว่ามีการปฏิเสธศรัทธาเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา
(คือหมู่พวกยิว)
จึงได้กล่าวว่า
ใครบ้างจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันไปสู่อัลลอฮ์
บรรดาสาวกผู้บริสุทธิ์ใจกล่าวว่า
พวกเราคือผู้ช่วยเหลืออัลลอฮ์
พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์
แล้ว และท่านจงเป็นพยานด้วยว่า
แท้จริงพวกเรานั้น
คือผู้น้อมตาม
[3:53]
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
พวกข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา
และพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม
ร่อซู้ลแล้ว
โปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาพวกที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลายด้วยเถิด
[3:54]
และพวกเขาได้วางแผน
(คือ
พวกยิวที่ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนบีอีซา
ได้วางแผนที่จะกำจัดท่าน)
และอัลลอฮ์
ก็ทรงวางแผนด้วย
(คือวางแผนที่จะปกป้องท่านนบี
อีซาให้พ้นจากการทำร้ายของพวกเขา)
และอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงวางแผนที่ดีเยี่ยม
[3:55]
จงลำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์
ตรัสว่าโอ้อีซา!
ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า
และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าบริสุทธิ์
พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
จนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์
แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า
แล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า
ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
[3:56]
ส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และปรโลก
และจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด
สำหรับพวกเขา
[3:57]
และส่วนบรรดาผู้ศรัทธา
และประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้น
พระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเขาโดยครบถ้วน
ซึ่งรางวัลของพวกเขาและอัลลอฮ์
นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้อธรรม
[3:58]
ดังกล่าวนั้นแหละ
เราอ่านมันให้เจ้าฟัง
อันได้แก่โองการต่างๆ
และคำเตือนรำลึกที่รัดกุมชัดเจน
[3:59]
แท้จริงอุปมาของอีซานั้น
ดั่งอุปมัยของอาดัม
พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน
และได้ทรงประปาศิตแก่เขาว่าจงเป็นขึ้นเถิด
แล้วเขาก็เป็นขึ้น
[3:60]
ความจริง
นั้นมาจากพระเจ้าของเจ้า
(มุฮัมมัด)
ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
[3:61]
ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้ามนเรื่องของเขา
(อีซา) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว
ก็จงกล่าวเถิดว่า
ท่านทั้งหลายจงมาเถิด
เราก็จะเรียกลูกๆของเรา
และลูกของพวกท่าน
และเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา
และบรรดาผู้หญิงของพวกท่าน
และตัวของพวกเรา
และตัวของพวกท่านแล้วเราก็จะวิงวอนกัน
(ต่ออัลลอฮ์)
ด้วยความนอบน้อม
โดยที่เราจะขอให้อนัต
(คือการขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะฮมัตของบอัลลอฮ์)
ของอัลลอฮ์พึงประสบแก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก
[3:62]
แท้จริงเรื่องนี้
(คือเรื่องที่นบี
อีซาเกิดมาโดยไม่มีพ่อ)
เป็นเรื่องจริง
และไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ
นอกจากอัลลอฮ์
เท่านั้น
แลแท้จริงอัลลอฮ์
คือผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณ
[3:63]
แล้วหากพวกเขาผินหลังให้
แน่นอนอัลลอฮ์
นั้นเป็นผู้ทรงรู้ดี
ต่อผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย
[3:64]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์!
จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน
(คือไม่ขัดแย้งกัน
เนื่องจากทั้งคัมภีร์เตารอตและอินญีลได้บัญญัติไว้อย่างเดียวกัน)
ระหว่างเราและพวกท่าน
คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น
และเรจะไม่ให้สิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์
และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์
แล้วหากพวกเขาผินหลังให้
ก็จงกล่าวเถิดว่า
พวกท่านจงเป็นพยานด้วยด้วยว่า
แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม
[3:65]
โอ้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
! เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในตัวของอิบรอฮีม
และอัตเตารอต
และอัลอินญีลนั้นมิได้ถูกประทานลงมา
นอกจากหลังจากเขา
แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ
[3:66]
พวกเจ้านี้แหละ
(คือพวกยิวและพวกคริสต์)
ได้โต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในสิ่งนั้นแล้ว
แล้วก็เหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้
(คือไม่มีความรู้เกี่ยวกับท่านนบีอิบรอฮีม
เพราะท่านมาก่อนพวกเขาเป็นเวลาช้านาน
และมิได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ของพวกเขาด้วยว่าท่านเป็นยิวหรือเป็นคริสต์
แล้วพวกเขาไปทึกทักเอามาจากไหนที่ต่างฝ่ายอ้างว่าท่านตั้งอยู่ในศาสนาของตน)
และอัลลอฮ์
นั้นทรง
รู้แต่พวกเจ้าไม่รู้
[3:67]
อิบรอฮีมไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์
แต่ทว่าเขาเป็นผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริง
เป็นผู้น้อมตาม
(คือน้อมตามบัญญัตของอัลลอฮ์โดยปราศจากเงื่อนไข)
และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
(แก่อัลลอฮ์)
[3:68]
แท้จริงผู้คนที่สมควรยิ่งต่ออิบรอฮีมนั้น
ย่อมได้แก่บรรดาผู้ปฏิบัติตามเขา
และปฏิบัติตามนบีนี้
(คือปฏิบัติตามตามท่านนบีมุฮัมมัดด้วย
เพราะท่านตั้งอยู่บนแนวทางของนบีอิบรอฮีม)
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย
(คือศรัทธาต่อทานนบีมุฮัมมัด)
และอัลลอฮ์นั้นทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[3:69]
กลุ่มหนึ่งจากพวกที่ได้รับคัมภีร์นั้นชอบ
หากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิด
และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด
นอกจากตังของพวกเขาเองแต่พวกเขาไม่รู้
[3:70]
โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์ทั้งที่พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันอยู่
(คือยืนยันว่าลักษณะที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ของพวกเขานั้นตรงกับลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัด)
[3:71]
โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จ
และปกปิดความจริงไว้
(คือปกปิดลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัดไว้)
ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่
[3:72]
และกลุ่มหนึ่งจากหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งทีถูกให้ลงมาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา
(คือศรัทธาต่ออัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่ผู้ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดในเวลาเช้า
และก็ปฏิเสธการศรัทธานั้นเสียในเวลาเย็น)
ในตอนเริ่มแรกของกลางวัน
(เช้า)
และจงปฏิเสธศรัทธาในตอนสุดท้ายของมัน
(เย็น)
เพื่อว่าพวกเขาจาได้กลับใจ
[3:73]
และพวกท่านจงอย่าเชื่อ
(คือพวกยิวที่ได้กล่าวห้ามพวกเขา)
นอกจากแก่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาของพวกท่านเท่านั้น-จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า คำแนะนำนั้นคือคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น
(คือจงอย่าเชื่อว่า)
จะมีผู้ใดได้รับ
(คือไม่มีผู้ใดในชีวิตอื่น
จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรอซูล
เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของพวกท่านได้รับ)
เยี่ยงที่พวกท่านได้รับ
หรือ
(อย่าเชื่อว่า)
เขาเห่ลานั้น
(หมายถึงบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด
ซ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะซัลลัม)
จะโต้แย้งพวกท่าน
ณ
พระเจ้าของพวกท่านเลย
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงความโปรดปรานนั้นอยู่
ณ พระหัตถ์ของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์ก็จะทรงประทานมันให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงไพศาล
ผู้ทรงรอบรู้
[3:74]
พระองค์จะทรงเจาะจงความเอ็นดูเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่
[3:75]
และจากหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น
มีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมายเขาก็จะคืนมันแก่เจ้า
และจากหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้สักเหรียญทองหนึ่ง
เขาก็จะไม่คืนมันแก่เจ้า
นอกจากเจ้าจะยืนเฝ้าทวงเขาอยู่เท่านั้น
นั่นก็เพราะว่าพวกเขากล่าวว่า
ในหมู่ผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็นนั้น
ไม่มีทางใดที่เป็นโทษแก่เราได้
(กล่าวคือพวกเขาถือว่าการโกงบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็นในหมู่ชนชาติอาหรับนั้นไม่มีบาปหรือโทษใดๆโดยอ้างว่า
เพราะเขาเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเกลียดชัง
ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ซุบฮานะฮู
วะตะอาลา
อีกกระทงหนึ่ง)
และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ทั้งๆที่พวกเขารู้กันดีอยู่
[3:76]
มิใช่เช่นนั้นดอก
(คือมิใช่อย่างที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้นดอก
เพราะการโกงผู้อื่นนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถือว่าเป็นความผิด
และจะได้รับโทษ)
ผู้ใดที่รักสัญญาของเขาโดยครบถ้วน
และยำเกรง
(อัลลอฮ์)
แล้วแน่นอนอัลลอฮ์ทรงชอบผู้ที่ยำเกรงนั้น
[3:77]
แท้จริงผู้ที่นำสัญญาของอัลลอฮ์
และการสาบานของพวกเขาไปขายด้วยราคาอันเล็กน้อยนั้น
ชนเหล่านี้แหละไม่มี่ส่วนได้ใดๆแก่พวกเขาในปรโลก
และอัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา
และจะไม่ทรงมองดูพวกเขาในวันกิยามะฮ์
และทั้งจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดด้วย
(คือสะอาดจากความผิดที่ไม่นำพาต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่อัลลอฮ์
นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอภัยโทษอย่างเด็ดขาด)
และพวกเขาจะได้รับโทษอันเจ็บแสบ
[3:78]
และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น
มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา
ในการอ่านคัมภีร์
เพื่อพวกเจ้าจะได้คิดว่ามันมาจากคัมภีร์
ทั้งที่มันมิได้มาจากคัมภีร์
และพวกเขากล่าวว่า
มันมาจากที่อัลลอฮ์
ทั้งที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮ์
และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์
ทั้งที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่
[3:79]
ไม่เคยปรากฎแก่บุคคลใดที่อัลลอฮ์ทรงประทานคัมภีร์และข้อตัดสิน
และการเป็นนบีแก่เขา
(หมายถึงท่าน
นบีอีซา) แล้วเขากล่าวแก่ผู้คนว่า
ท่านทั้งหลายจงเป็นบ่าวของฉัน
(กล่าวคือพวกยิวอ้างว่าท่านนบีอีซาเป็นพระเจ้าโดยแบ่งภาคมาเกิดเป็นพระบุตร
ในการนี้พวกเขาจึงเป็นบ่าวของท่าน
ทั้งๆที่ท่านมิได้ประกาศตนว่าเป็นพระเจ้า
และมิได้เชิญชวนให้พวกเขาเป็นบ่าวของพระองค์แต่อย่างใด)
อื่นจากอัลลอฮ์
หากแต่
(เขาจะกล่าวว่า)
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ผูกพันธ์กับพระเจ้า
(คือเป็นผู้ศรัทธาต่อพระองค์
และให้เอกภาพแด่พระองค์ตลอดจนปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์โดยเคร่งครัด)
เถิด เนื่องจากการที่พวกท่านเคยสอนคัมภีร์
(คือเคยสอนคัมภีร์เตารอต
และศึกษาคัมภีร์นั้นมาก่อนในฐานะที่เคยศรัทธาต่อท่านนบีมูซา)
และเคยศึกษาคัมภีร์มา
[3:80]
และพวกเขาจะไม่ใช้พวกเจ้าให้ยึดเอามลาอิกะฮ์
และบรรดานบีเป็นพระเจ้า
เขาจะใช้พวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธา
หลังจากที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อม
(คือศรัทธาต่ออัลลอฮ์)
แล้วกระนั้นหรือ?
[3:81]
และจงลำลึกขณะที่อัลลอฮ์
ได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่นบีทั้งหลายว่า
สิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดี
และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดี
ภายหลังได้มีร่อซู้ลคนใดมายังพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้ยืนยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้ว
แน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา
และช่วยเหลือเขา
(คือการที่บรรดานบียอมรับสัญญาจากอัลลอฮ์
ที่จะศรัทธาต่อนบีที่มาหลังจากพวกเขานั้นเป็นการยืนยันว่า
พวกอะฮลุลกิตาบนั้นจำเป็นจะต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เพราะว่าเมื่อบรรดานบีของพวกเขา
ยังต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดแล้วไซร้
พวกเขาซึ่งศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขา
ก็ต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัด
ด้วย
ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว
พวกเขาก็หาได้ศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขาไม่)
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าว
พวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว
พระองค์ตรัสว่า
พวกเจ้าจงเป็นพยานเถิด
และข้าก็อยู่ในหมู่ผู้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย
[3:82]
แล้วผู้ใดที่ผินหลังให้หลังให้หลังจากนั้น
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ละเมิด
[3:83]
อื่นจากศาสนาของอัลลอฮ์
กระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา? และแด่พระองค์นั้น
ผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดินได้นอบน้อมกันทั้งด้วยการสมัครใจ
และฝืนใจ
และยังพระองค์นั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไป
[3:84]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
เราได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมแ
ละอิสมาอีล
และอิสหาก
และยะอกูบ
และบรรดาผู้สืบเชื้อสาย
(จากยะอกูบ)
และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซา
และอีซา
และนบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา
โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา
(คือไม่แยกศรัทธาเฉพาะบางท่าน
เช่น ศรัทธาเฉพาะท่านนบีมูซา
ไม่ศรัทธาต่อท่านนบีอีซา
และท่านนบีมุฮัมมัด
ดั่งที่ยิวปฎิบัติ
หรือศรัทธาเฉพาะท่านนบีอีซา
ไม่ศรัทธาต่อท่านนะบุมูซา
และท่านนบีมุฮัมมัด
ดั่งที่พวกคริสต์ปฏิบัติ
หากแต่เราศรัทธาต่อนบีทุกท่าน)
และพวกเรานั้นเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์
[3:85]
และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว
ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด
และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
[3:86]
อย่างไรเล่าที่อัลลอฮ์จะทรงแนะนำพวกใดพวกหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาศรัทธาแล้ว
และทั้งยังได้ยืนยันด้วยว่า
แท้จริงร่อซู้ล
(หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด
ซ้อลลัลลอฮ
อะลัยฮิ
วะซัลลัม)
นั้นเป็นความจริง
และได้มีหลักฐานต่างๆอันชัดแจ้งมายังพวกเขาด้วย
และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำผู้ที่อธรรม
[3:87]
ชนเหล่านี้แหละ
การตอบแทนแก่พวกเขาก้อคือ
การละอนัต
จากอัลลอฮ์
(หมายถึงการขับไล่ให้ห่างไกล
จากเราะหมัต
ของพระองค์
ถ้าจากมะลดอิกะฮ์
และมนุษย์
หมายถึงการขอต่ออัลลอฮ์ให้ทรงขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะหมัตของพระองค์)
จากมะอิกะห์
และจากมนุษย์ทั้งมวลนั้นจะตกอยู่แก่พวกเขา
[3:88]
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในการละอนัตนั้นตลอดกาล
ซึ่งการลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนเบาแก่พวกเขา
และทั้งพวกเขา
และทั้งพวกเขาจะ
ไม่ถูกประวิง
อีกด้วย
[3:89]
นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดหลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้น
และได้ปรับปรุงแก้ไข
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[3:90]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากัน
แล้วยังได้ทวีการปฏิเสธขึ้นอีกนั้น
การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาด
และชนเหล่านี้แหละผู้ที่หลงทาง
[3:91]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และพวกเขาได้หายไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น
ทองเต็มแผ่นดินก็จะไม่ถูกรับจากคนใดในพวกเขาเป็นอันขาด
และแม้ว่าเขาจะใช้ทองนั้นไถ่ตัวเขาก็ตาม
ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้น
คือการลงโทษอันเจ็บแสบและทั้งไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด
ๆ สำหรับพวกเขาด้วย
[3:92]
พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลย
จนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบและสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ในสิ่งนั้นดี
PART 4
[3:93]
อาหารทุกชนิดนั้นเคยเป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานอิสรออีลมาแล้ว
นอกจากที่อิสรออีลได้ให้เป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวเขาเอง
ก่อนจากที่อัตเตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าพวกเจ้าจงนำเอาอัตเตารอตมาแล้วจงอ่านมันดู
หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
[3:94]
แล้วผู้ใดที่อุปโลกน์ความเท็จให้อัลลอฮ์หลังจากนั้นชนเหล่านี้แหละ
พวกเขาคือผู้อธรรม
[3:95]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าอัลลอฮ์นั้นตรัสจริงแล้ว
ดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริงเถิด
และเขาไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาค
(แก่อัลลอฮ์)
เลย
[3:96]
แท้จริงบ้านหลักแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์
(เพื่อการอิบาดะฮ์)
นั้นคือบ้านที่มักกะฮ์
โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญ
และเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย
[3:97]
ในบ้านนั้น
มีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง
(ส่วนหนึ่งนั้น)
คือมะกอมอิบรอฮีม
และผู้ใดได้เข้าไปในบ้านนั้น
เขาก็เป็นผู้ปลอดภัยและสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้น
คือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้น
อันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้และผู้ใดปฏิเสธ
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย
[3:98]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดพวกท่านจึงปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นจะทรงเป็นพยานยืนยันในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน
[3:99]
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าโอ้ผู้ที่ได้กรับคัมภีร์ทั้งหลาย!
เพราะเหตุใดท่านจึงขัดขวางผ็ศรัทธาซึ่งทางของอัลลอฮ์โดยที่พวกท่านปรารถนาจะให้ทางของอัลลอฮ์คด
ทั้ง ๆ
ที่พวกท่านก็เป็นพยานยืนยันอยู่
และอัลลอฮ์นั้นมิใช่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน
[3:100]
โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
หากพวกเจ้าเชื่อฟังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
ในหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์แล้ว
พวกเขาก็จะให้พวกเจ้ากลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีก
หลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว
[3:101]
และอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธากัน
ทั้งๆ
ที่พวกเจ้านั้น
มีบรรดาโองการของอัลลอฮ์ถูกอ่านแก่พวกเจ้าอยู่
และยังมีร่อซู้ลของพระองค์อยู่ในหมู่พวกเจ้าด้วย
และผู้ใดยืดมั่นต่ออัลลอฮ์
แน่นอนเขาก็ได้รับคำแนะนำไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
[3:102]
โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงยำเกรงอัลลอฮ์อย่างแท้จริงเถิด
และพวกเจ้าจงอย่าตาย
เป็นอันขาดนอกจากในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อมเท่านั้น
[3:103]
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า
ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน
แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า
แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย
ความเมตตาของพระองค์
และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก
แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น
ในทำนองนั้นแหละ
อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระอง๕เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง
[3:104]
และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า
ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ
และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบและชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ
[3:105]
และพวกเจ้าจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่แตกแยกกัน
และขัดแย้งกันหลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้วและชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขา
คือการลงโทษอันใหญ่หลวง
[3:106]
วันซึ่งบรรดาใบหน้าจะขาวผ่อง
และบรรดาใบหน้าจะดำคล้ำ
ส่วนผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำนั้น
(พวกเขาจะถูกถามว่า)
พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธา
หลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้วกระนั้นหรือ? พวกเจ้าจงชิมการลงโทษเถิด
เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
[3:107]
และส่วนบรรดาผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาขาวผ่องนั้น
เขาจะอยู่ในความเมตตาของอัลลอฮ์
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในความเมตตานั้นตลอดกาล
[3:108]
นั่นคือบรรดาโองการของอัลลอฮ์โดยที่เรา
อ่านโองการเหล่านั้นแก่เจ้าด้วยความจริง
และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์ซึ่งการอธรรมใด
ๆ
แก่ประชาชาติทั้งหลาย
[3:109]
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า
และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น
และยังอัลลอฮ์นั้นกิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป
[3:110]
พวกเจ้านั้น
เป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษย์ชาติ
โดยที่พวกเจ้าใช้ให้ปฏิบัติสิ่งที่ชอบ
และห้ามมิให้ปฏิบัติสิ่งที่มิชอบ
และศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และถ้าหากว่าบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์
ศรัทธากันแล้ว
แน่นอนมันก็เป็นการดีแก่พวกเขา
จากพวกเขานั้นมีบรรดาผู้ที่ศรัทธา
และส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ละเมิด
[3:111]
พวกเขา
จะไม่ทำอันตรายแก่พวกเจ้าได้เลย
นอกจากการก่อความเดือดร้อนเล็ก
ๆ น้อยๆ
เท่านั้น
และหากพวกเขาต่อสู้พวกเจ้า
พวกเขาก็จะหันหลังหนีพวกเจ้า
แล้วพวกเขาก็จะไม่ได้กรับความช่วยเหลือ
[3:112]
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา
ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ
นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์
และสายเชือกจากมนุษย์
และพวกเขาจะนำความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไป
และความขัดสนก็จะถูกฟาดลงบนพวกเขา
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอ์
และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม
นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาดื้อดึง
และเคยทำการละเมิด
[3:113]
พวกเขาหาใช่เหมือนกันไม่
จากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมีกลุ่มชนหนึ่งที่เที่ยงธรรม
ซึ่งพวกเขาอ่านบรรดาโองการของอัลลอฮ์ในยามค่ำคืน
และพร้อมกันนั้น
พวกเขาก็สุยูดกัน
[3:114]
พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และวันปรโลก
และใช้ให้ปฏิบัติสิ่งที่ชอบ
และห้ามมิให้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ชอบ
และต่างรีบเร่งกันในบรรดาสิ่งดีงาม
และชนเหล่านี้และอยู่ในหมู่ที่ประพฤติดี
[3:115]
และความดีใด
ๆ
ที่พวกเขากระทำพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธในความดีนั้น
เป็นอันขาดและอัลลอฮ์ทรงรู้ดีต่อบรรดาผู้ที่ยำเกรง
[3:116]
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นทรัพย์สินของพวกเขา
และลูก ๆ
ของพสกเขาจะไม่อำนวยประฌยชน์ให้พวกเขาพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้อย่างใดเลย
และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก
โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
[3:117]
อุปมาสิ่งที่พวกเขาบริจาคไปในชีวิตความเป้นอยู่แห่งโลกนี้นั้นอุปมัยลมซึ่งมีความเย็นจัด
ได้ประสบแก่พืชผลของพวกกหนึ่งที่อธรรมแก่ตัวเองแล้วได้ทำลายพืชผลนั้น
อัลลอฮ์นั้นมิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขา
แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง
[3:118]
โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าได้ยึดเอาเพื่อสนิทที่รู้เห็นกิจการภายใน
อื่นจากพวกของเจ้าเอง
ซึ่งเขาเหล่านั้นจะไม่ลดลบะแก่พวกเจ้าในการก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นพวกเขาชอบกสรที่พวกเจ้าลำบาก
แท้จริงความเกลียดชังต่างๆ
ได้เผยออกมาแล้วจากปากของพวกเขา
และสิ่งที่หัวอกของพสกเขาซ่อนไว้นั้นใหญ่ยิ่งกว่า
แน่นอนเราได้แจกแจงบรรดาโองการไว้แก่พวกเจ้าแล้ว
หากพวกเจ้าใช้ปัญญากัน
[3:119]
ถึงรู้เถิดว่า
พวกเจ้านี้แหละรักใคร่พวกเขาทั้งๆ
ที่พวกเขาไม่รักใคร่พวกเจ้า
และพวกเจ้าศรัทธาต่อคัมภีร์ทุกเล่ม
และเมื่อพวกเขาพบพวกเจ้าพวกเขาก็กล่าวว่า
พวกเราศรัทธากันแล้ว
และเมื่อพวกเขาอยู่แต่ลำพัง
พวกเขาก็กัดนิ้วมือ
เนื่องจากความเคียดแค้นแก่พวกเจ้าจงกล่าเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า พวกเจ้าจงตายด้วยความเคียดแค้นของพสกเจ้าเถิด
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในหัวอกทั้งหลาย
[3:120]
หากมีความดีใดๆ
ประสบแก่พวกเจ้า
ก็ทำให้พวกเขาเศร้าใจและถ้าหากความชั่วใด
ๆ ประสบแก่พวกเจ้า
พวกเขาก็ดีใจเนื่องด้วยความชั่วนั้น
และถ้าพวกเจ้าอดทน
และยำเกรงแล้วไซร้
อุบายของพวกเขาก็ย่อมไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าแต่อย่างใดแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงล้อม
ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[3:121]
และจงรำลึกถึงขณะที่เจ้าจากครอบครัวของเจ้าไปแต่เช้าตรู่
โดยที่เจ้าจะได้จัดให้บรรดามุอ์มินประจำที่มั่นต่างๆ
เพื่อการสู้รบ
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงรอบรู้
[3:122]
จงรำลึกขณะที่สองกลุ่ม
ในหมู่พวกเจ้ารู้สึกอ่อนแอและขลาด
และอัลลอฮ์เป็รนผู้ทรงคุ้มครองทั้งสองกลุ่มนั้นไว้
และแด่อัลลอฮ์นั้นมุอ์มินทั้งหลายจงมอบหมายเถิด
[3:123]
และแน่นอน
อัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัร
มาแล้วทั้งๆ
ที่พวกเข้าเป็นพวกด้อยกว่า
ดังนั้นพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอ์เถิด
หวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ
[3:124]
จงรำลึกถึงขณะที่เจ้า
(มุฮัมมัด)
กล่าวแก่บรรดามุอ์มินว่า
ไม่เพียงกอแก่พวกเจ้าเลยหรือ
การที่พระเจ้าของพวกท่านจะหนุนกำลังแก่พวกท่าน
ด้วยมลาอิกะฮ์จำนวนสามพันโดยถูกส่งลงมา
[3:125]
เพียงพอแน่นอน
หากพวกเจ้าอดทนและยำเกรง
และพวกเขาจะ
มายังพวกเจ้าทันทีทันใดขณะนี้
แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าก็จะหนุนกำลังแก่พวกเจ้าอีก
ด้วยจำนวนมลาอิกะฮ์ห้าพัน
โดยมีเครื่องหมาย
[3:126]
และอัลลอฮ์มิได้ทรงให้กำลังหนุนนั้นมีขึ้น
นอกจากเพื่อเป็นข่าวดีแก่พวกเจ้า
และเพื่อที่หัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบด้วยกำลังหนุนนั้นและความช่วยเหลือทั้งหลายนั้นไม่มี
(จากที่อื่นใด)
นอกจากที่อัลลอฮ์
ผู้ทรงเดชานุภาพ
ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น
[3:127]
เพื่อพระองค์จะทรงบั่นทองส่วนหนึ่ง
ออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหรือทรงให้พวกเขาได้รับความอัปยศ
แล้วพวกเขาก็จะถอยกลับไปในฐานะผู้ผิดหวัง
[3:128]
ไม่มีสิ่งใดเป็นสิทธิของเจ้า
(มุฮัมมัด) จากกิจการเหล่านั้น
หรือไม่ก็พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา
หรือลงโทษพวกเขาเพราะพวกเขานั้นคือผู้อธรรม
[3:129]
และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้ยนฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นพระองค์จะทรงอภัยดทษให้แก่พผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และจะทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
และอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงเมตตาเสมอ
[3:130]
โอ้
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่ากินดอกเบี้ยหลายเท่าที่ถูกทบทวีและพวกเขาพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
[3:131]
และพวกเจ้าจงเกรงกลัวไฟนรกที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเถิด
[3:132]
และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา
[3:133]
และพวกเจ้าจงรีบเร่งกันไปสู่การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้า
และไปสู่สวรรค์ซึ่งความกว้างของมันนั้น
คือบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
โดยที่มันถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง
[3:134]
คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย
และในยามเดือดร้อน
และบรรดาผู้ข่มโทษและบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย
[3:135]
บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด
ๆ หรือ
อยุติธรรมแก่ตัวเองแล้ว
พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ์
แล้วขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวกเขา
และใครเล่าที่จะอภัยโทษบรรดาความผิดทั้งหลายให้ได้
นอกจากอัลลอฮ์แล้ว
และพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่ง
ที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่
[3:136]
ชนเหล่านี้แหละการตอบแทนแก่พวกเขาคือการอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขาและบรรดาสวนสวรรค์
ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายในสวนเหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนเหล่านั้นตลอดกาล
และรางวัลของผู้ทำงาน
นั้นช่างเลิศจริงๆ
[3:137]
แน่นอนได้ผ่านพ้นมาแล้วก่อนพวกเจ้า
ซึ่งแนวทางต่างๆ
ดังนั้นพวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน
แล้วจงดูว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธเป็นอย่างไร?
[3:138]
นี่คือข้อชี้แจงอันชัดเจสำหรับมนุษย์และเป็นคำแนะนำที่ถูกต้อง
และเป็นคำตักเตือนสำหรับผู้ยำเกรงทั้งหลาย
[3:139]
และพวกเจ้าจงอย่าท้อแท้
และจงอย่าเสียใจ
แลบพวกเจ้านั้นคือผู้ที่สูงส่งยิ่ง
หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
[3:140]
หากประสบแก่พวกเจ้า
ซึ่งบาดแผลหนึ่งบาดแผลใด
แน่นอนก็ย่อมประสบแก่พวกนั้น
ซึ่งบาดแผลเยี่ยงเดียวกัน
และบรรดาวันเหล่านั้นเราได้ให้มันหมุนเวียนไประหว่างมนุษย์
และเพื่ออัลลอฮ์จะได้ทรงรับรู้บรรดาผู้ที่ศรัทธา
แลเพื่อเอาบรรดาผู้เสียชีวิตในสงคราม
จากพวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงรักใคร่ผู้อธรรมทั้งหลาย
[3:141]
เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงขัดเกลาบรรดาผู้ศรัทธาให้บริสุทธิ์
และทรงขจัดบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาให้หมดไป
[3:142]
หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า
พวกเจ้าจะได้เข้าสวนสวรรค์
ทั้งๆ
ที่อัลลอฮ์ยังมิได้ทรงรู้
บรรดาผู้ที่ต่อสู้
(ญิฮาด)
ในหมู่พวกเจ้าพร้อมกันนั้น
พระองค์ก็จะทรงรู้บรรดาผู้ที่อดทนด้วย
[3:143]
และแน่นอนพวกเจ้า
เคยปรารถนาความตาย
ก่อนจากที่พวกเจ้าจะได้พบมัน
แล้วแน่นอนพวกเจ้าก็ได้เห็นมันแล้ว
ขณะที่พวกเจ้ามองดูกันอยู่
[3:144]
และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อื่นมดไม่นอกจากเป็นร่อซู้ลผู้หนึ่งเท่านั้น
ซึ่งบรรดาร่อซู้ลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว
แล้วหากเขาตายไปหรือเขาถูกฆ่าก็ตาม
พวกเจ้าก็หันสันเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ? และผู้ใดที่หันสันเท้าทั้งสองของเขากลับแล้วไซร้
มันก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์แต่อย่างใดเลย
และอัลลอฮ์นั้นจะทรงตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย
[3:145]
และมิเคยปรากฏแก่ชีวิตใดที่จะตายนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น
ทั้งนี้เป็นลิขิตที่ถูกกำหนดไว้
และผู้ใดต้องการผลตอบแทนในโลกนี้
เราก็จะให้แก่เขาจากโลกนี้
และผู้ใดต้องการผลตอบแทนในปรโลก
เราก็จะให้แก่เขาจากปรโลกและจะตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย
[3:146]
และนบีกี่มากน้อยแล้ว
ที่กลุ่มชนอันมากมายได้ต่อสู้ร่วมกับเขา
แล้วพวกเขาหาได้ท้อแท้ไม่ต่อสิ่งที่ได้ประสบแก่พวกเขาในทางของอัลลอฮ์
และพวกเขาหาได้อ่อนกำลังลง
และหาได้สยบไม่
และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้ที่อดทนทั้งหลาย
[3:147]
และคำพูดของพวกเขามิปรากฏเป็นอื่นใด
นอกจากพวกเขากล่าวว่า
โอ้พระเจ้า
แห่งพวกข้าพระองค์
โปรดได้ทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์
และการที่พวกข้าพระองค์กระทำเกินขอบเขตในกิจการของพวกข้าพระองค์
และโปรดทรงให้เท้าของพวกข้าพระองค์มั่นอยู่
และโปรดทรงช่วยเหลือพวกข้าพระองค์ให้ชนะเหนือกลุ่มชนผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย
[3:148]
แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงประทานให้แก่พวกเขาซึ่งผลตอบแทนแห่งโลกนี้
และผลตอบแทนที่ดีแห่งปรโลก
และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย
[3:149]
โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
!
หากพวกเจ้าเชื่อฟังบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาแล้ว
พวกเขาก็จะให้พวกเจ้ากลับส้นเท้าของพวกเจ้าเสีย
แล้วพวกเจ้าก็จะกลับเป็นผู้ที่ขาดทุน
[3:150]
แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหาก
คือผู้ช่วยเหลือพวกเจ้า
และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ดีเยี่ยมในบรรดาผู้ช่วยเหลือทั้งหลาย
[3:151]
เราจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น
เนื่องจากการที่พวกเขาให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์
ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆมายืนยันในสิ่งนั้น
และที่อยู่ของพวกเขา
คือขุมนรก
ช่างเลวร้ายจริงๆ
ซึ่งที่อยู่ของบรรดาผู้อธรรม
[3:152]
และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงให้สัญญาของพระองค์สมจริงแก่พวกเจ้าแล้ว
ขณะที่พวกเจ้าเข่นฆ่าพวกเขา
ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์
จนกระทั่งพวกเจ้าขลาดที่จะต่อสู้
และขัดแย้งกันในคำสั่ง
และพวกเจ้าได้ฝ่าฝืน
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นสิ่งทีพวกเจ้าชอบแล้ว
จากพวกเจ้านั้นมีผู้ที่ต้องการโลกนี้
และจากพวกเจ้านั้นมีผู้ที่ต้องการปรโลก
แล้วพระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าหันกลับจากพวกเขาเสีย
เพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้า
และแน่นอนพระองค์ได้ทรงอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้ว
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[3:153]
จงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้าหนีเอาตัวรอด
และไม่เหลียวมองคนหนึ่งคนใด
ทั้งๆที่ร่อซู้ลกำลังเรียกพวกเจ้าอยู่ทางเบื้องหลังของพวกเจ้า
แล้วพระองค์ก็ได้ทรงตอบแทนพวกเจ้าซึ่งความเศร้าโศกอย่างหนึ่ง
พร้อมด้วยความเศร้าโศกอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่หลุดมือพวกเจ้าไป
และไม่เสียใจต่อสิ่งที่ประสบแก่พวกเจ้า
และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[3:154]
แล้วพระองค์ก็ทรงประทานแก่พวกเจ้า
ซึ่งความปลอดภัย
หลังจากความเศร้าโศกนั้น
คือให้มีการงีบหลับครอบคลุมกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า
และอีกกลุ่มหนึ่งนั้น
ตัวของพวกเขาเองทำให้พวกเขากระวนกระวายใจ
พวกเขากล่าวหาอัลลอฮ์
โดยปราศจากความเป็นธรรมอย่างพวกสมัยงมงาย
(อัลญาฮิลียะฮ์)
พวกเขากล่าวว่า
มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากกิจการนั้นเป็นสิทธิของเราบ้างไหม? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่าแท้จริงกิจการนั้นทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น
พวกเขาปกปิดไว้ในใจของพวกเขา
สิ่งซึ่งพวกเขาจะไม่เปิดเผยแก่เจ้า
พวกเขากล่าวว่าหากปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากกิจการนั้น
เป็นสิทธิของเราแล้วไซร้
พวกเราก็ไม่ถูกฆ่าตายที่นี่
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แม้ปรากฏว่า
พวกท่านอยู่ในบ้านของพวกท่านก็ตาม
แน่นอนบรรดาผู้ที่การฆ่าได้ถูกกำหนดแก่พวกเขา
ก็จะออกไป สู่ที่นอนตายของพวกเขา
และเพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงทดสอบสิ่งที่อยู่ในหัวอกของพวกเจ้า
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่หัวอกทั้งหลาย
[3:155]
แท้จริงบรรดาผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าที่หันหลังหนีในวันที่สองกลุ่ม
เผชิญหน้ากันนั้นแท้จริงชัยฏอนต่างหากที่ทำให้พลั้งพลาดไป
เนื่องจากบางสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้เท่านั้น
และแน่นอนอัลลอฮ์ก็ได้ทรงอภัยแก่พวกเขาแล้ว
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ
ผู้ทรงหนักแน่น
[3:156]
โอ้ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และกล่าวแก่พวกพ้องของพวกเขา
ขณะที่เขาเหล่านั้นเดินทางไปในผืนแผ่นดิน
หรือขณะที่เขาเหล่านั้นเป็นนักรบว่า
หากพวกเขาอยู่ที่เราแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่ตาย
และไม่ถูกฆ่า
เพื่อว่าอัลลอฮ์จะทรงให้เรื่องนั้นเป็นที่เศร้าโศกในหัวใจของพวกเขา
และอัลลอฮ์นั้นทรงให้เป็นและให้ตาย
และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[3:157]
และแน่นอน
ถ้าหากพวกเจ้าถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์
หรือพวกเจ้าตาย
(ในทางของพระองค์)
แล้ว
แน่นอนการอภัยโทษ
และการเอ็นดูเมตตาจากอัลลอฮ์นั้นดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมกันอยู่
[3:158]
และแน่นอน
ถ้าหากพวกเจ้าตายไปหรือถูกฆ่า
แล้ว
แน่นอนยังอัลลอฮ์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำไปชุมนุม
[3:159]
เนื่องด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ์นั่นเอง
เจ้า
(มุฮัมมัด) จึงได้สุภาพอ่อนโยนแก่พวกเขา
และถ้าหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า
และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้
แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวออกไปจากรอบๆ
เจ้ากันแล้ว
ดังนั้นจงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด
และจงขออภัยให้แก่พวกเขาด้วย
และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย
ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว
ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์เถิด
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย
[3:160]
หากว่าอัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าก็ไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้
และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้ว
ก็ผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์
และแด่อัลลอฮ์นั้น
ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายเถิด
[3:161]
และไม่ปรากฏแก่นบีคนใดที่จะยักยอก
(ทรัพย์เชลย)
และผู้ใดยักยอกแล้ว
เขาก็จะนำสิ่งที่เขายักยอกนั้นมาในวันกิยามะฮ์
แล้วแต่ละคนจะได้รับการตอบแทนอย่างครบถ้วน
ตามที่เขาได้แสวงหาไว้
โดยที่พวกเขาจะไม่ได้รับความอยุติธรรม
[3:162]
ผู้ที่ปฏิบัติตาม
ความปิติยินดีของอัลลอฮ์นั้น
จะเหมือนกับผู้ที่ได้นำความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไปกระนั้นหรือ? และที่อยู่ของเขานั้นคือ
ญะฮันนัม
และเป็นที่กลับอันเลวร้ายยิ่ง
[3:163]
พวกเขาเหล่านั้นมีหลายระดับขั้น
ณ อัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
[3:164]
แน่นอนยิ่ง
อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซู้ลคนหนึ่ง
จากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง
และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์
และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย
และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
[3:165]
และเมื่อมีภยันตรายหนึ่ง
ประสบแก่พวกเจ้า
ทั้งๆที่พวกเจ้าได้ให้ประสบแก่พวกเขามาแล้วถึงสองเท่าแห่งภยันตรายนั้น
พวกเจ้าก็ยังกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากไหนกระนั้นหรือ? จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
มันมาจากที่ตัวของพวกท่านเอง
แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:166]
และสิ่งที่ประสบแก่พวกเจ้า
ในวันที่สองกลุ่มเผชิญกันนั้นก็โดยอนุมัติของอัลลอฮ์
และเพื่อที่พระองค์จะทรงรู้
ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นเอง
[3:167]
และเพื่อพระองค์จะทรงรู้บรรดาผู้ที่กลับกลอกด้วย
และได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า
จงมากันเถิด
จงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์กัน
หรือไม่ก็จงป้องกัน
พวกเขากล่าวว่า
หากเรารู้ว่ามีการสู้รบกันแล้ว
แน่นอนเราก็ตามพวกท่านไปแล้ว
ในวันนั้น
พวกเขาใกล้แก่การปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าพวกเขามีศรัทธา
พวกเขาจะกล่าวด้วยปากของพวกเขา
สิ่งที่ไม่ใช่อยู่ในหัวใจของพวกเขา
และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขาปกปิดกัน
[3:168]
บรรดาผู้ที่พูดเกี่ยวแก่พี่น้องของพวกเขา
โดยที่พวกเขานั่งเฉยอยู่ว่า
ถ้าหากพวกเขาเชื่อฟังเรา
พวกเขาก็ไม่ถูกฆ่า
จงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
พวกท่านจงป้องกันความตายให้พ้นจากตัวของพวกท่านเถิด
หากพวกท่านพูดจริง
[3:169]
และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์นั้นตาย
มิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ณ
พระเจ้าของพวกเขา
ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ
[3:170]
ปลาบปลื้มต่อสิ่ง
ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา
จากความกรุณาของพระองค์
และปิติยินดีต่อบรรดาผู้ที่ยังมาไม่ทันพวกเขาซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขาว่า
ไม่มีความกลัวใดๆ
แก่พวกเขาและทั้งพวกเขาจะไม่เสียใจ
[3:171]
พวกเขาปิติยินดีต่อสิ่งอำนวยความสุขจากอัลลอฮ์
และความกรุณา
(จากพระองค์)
ด้วย
และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงให้สูญหายซึ่งรางวัลของผู้ศรัทธาทั้งหลาย
[3:172]
คือบรรดาผู้ที่ตอบรับอัลลอฮ์
และร่อซู้ลหลังจากที่บาดแผลได้ประสบแก่พวกเขาสำหรับบรรดาผู้กระทำดีในหมู่พวกเขา
และมีความยำเกรงนั้น
คือรางวัลอันใหญ่หลวง
[3:173]
บรรดาที่
ผู้คน
ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า
แท้จริงมีผู้คน
ได้ชุมนุมสำหรับพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด
แล้วมัน ได้เพิ่มการอีมานแก่พวกเขา
และพวกเขากล่าวว่าอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้ว
และเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม
[3:174]
แล้วพวกเขาได้กลับมา
พร้อมด้วยความ
กรุณาจากอัลลอฮ์
และความโปรดปราน
(จากพระองค์)
โดยมิได้มีอันตรายใดๆ
ประสบแก่พวกเขา
และพวกเขาได้ปฏิบัติตามความพอพระทัยของอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์คือผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่
[3:175]
แท้จริงชัยฏอนนั้น
เพียงขู่ได้
เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้น
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา
และจงกลัวข้าเถิด
หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
[3:176]
และจงอย่าให้บรรดาผู้ที่เร่งรีบกันในการปฏิเสธศรัทธา
เป็นที่เสียใจแก่เจ้า
แท้จริงพวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลย
อัลลอฮ์นั้นทรงต้องการที่จะไม่ให้มีส่วนได้ใดๆ
แก่พวกเขาในปรโลก
และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันยิ่งใหญ่
[3:177]
แท้จริงบรรดาผู้ที่ซื้อการกุฟุร
ด้วยการอีมานนั้น
พวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลย
และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ
[3:178]
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น
จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า
ที่เราประวิง
ให้แก่พวกเขานั้น
เป็นการดีแก่ตัวของพวกเขา
แท้จริงที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้น
เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนซึ่งบาปกรรมเท่านั้น
และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันต่ำช้า
[3:179]
ใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ศรัทธาไว้ในสภาพที่พวกเจ้ากำลังเป็นอยู่ก็หาไม่
จนกว่าพระองค์จะทรงจำแนกผู้ที่เลวออกจากผู้ที่ดีเท่านั้น
และใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเร้นลับก็หาไม่
แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงคัดเลือกจากบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
ดังนั้นพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์เถิด
และหากพวกเจ้าศรัทธาและยำเกรงแล้ว
สำหรับพวกเจ้าก็คือ
รางวัลอันยิ่งใหญ่
[3:180]
และบรรดาผู้ที่ตระหนี่ในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความกรุณาของพระองค์นั้น
จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่ามันเป็นการดีแก่พวกเขา
หากแต่มันเป็นความชั่ว
แก่พวกเขา
ซึ่งพวกเขาจะถูกคล้องสิ่งที่พวกเขาได้ตระหนี่มันไว้ในวันกิยามะฮ์
และสำหรับอัลลอฮ์นั้น
คือมรดกแห่งบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
[3:181]
แน่นอนยิ่ง
อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของบรรดาผู้ที่กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ยากจน
และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมี
เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้
และการที่พวกเขาฆ่าบรรดานบี
โดยปราศจากความเป็นธรรมด้วยและเราจะกล่าวว่า
พวกเจ้าจงลิ้มการลงโทษแห่งเปลวเพลิงเถิด
[3:182]
นั่นก็เพราะสิ่งที่มือของพวกเจ้าได้ประกอบไว้ก่อน
และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นมิใช่ผู้อธรรมแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย
[3:183]
บรรดาผู้ที่กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงสั่งเสียแก่เราว่าเราจะไม่ศรัทธาแก่ร่อซู้ลคนใด
จนกว่าเขาจะนำมาแก่เรา
ซึ่งสิ่งพลีแด่อัลลอฮ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะมีไฟกินมันจงกล่าวเถิด
(มุฮัมมัด)
ว่า
แท้จริงได้มีบรรดาร่อซู้ลก่อนจากฉันได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดเจนมายังพวกท่านแล้ว
และได้นำสิ่งที่พวกท่านได้กล่าวไว้ด้วย
แล้วไฉนเล่า
พวกท่านจึงได้ฆ่าพวกเขา
หากพวกท่านพูดจริง
[3:184]
แล้วหากพวกเขาปฏิเสธเจ้า
ก็แท้จริงนั้น
บรรดาร่อซู้ลก่อนหน้าเจ้าก็ได้ถูกปฏิเสธมาแล้วซึ่งเขาเหล่านั้นได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดเจน
บรรดาคัมภีร์ซะบูร
และคัมภีร์ที่ให้แสงสว่างมาด้วย
[3:185]
แต่ละชีวิตนั้น
จะได้ลิ้มรสแห่งความตาย
และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น
คือวันปรโลก
แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก
และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้
แน่นอน
เขาก็ชนะแล้ว
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น
มิใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น
[3:186]
แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะถูกทดสอบในทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าและตัวของพวกเจ้าและแน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะได้ยินจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้า
และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้น
(แก่อัลลอฮ์)
ซึ่งการก่อความเดือดร้อนอันมากมาย
และหากพวกเจ้าอดทนและยำเกรงแล้ว
แท้จริงนั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่เด็ดเดี่ยว
[3:187]
และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ทรงเอาคำมั่นสัญญาจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ว่าแน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะต้องแจกแจงคัมภีร์นั้นให้แจ่มแจ้งแก่ประชาชนทั้งหลาย
และพวกเจ้าจะต้องไม่ปิดบังมัน
แล้วพวกเขาก็เหวี่ยงมันไว้เบื้องหลังของพวกเขา
และได้แลกเปลี่ยนมันกับราคาอันเล็กน้อย
ช่างเลวแท้ๆ
สิ่งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนมา
[3:188]
เจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่า
บรรดาผู้ที่ปิติยินดีต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ
และชอบที่จะได้รับการชมเชยในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำนั้น
(จะรอดพ้นการลงโทษไปได้)
ดังนั้นเจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่า
พวกเขาจะมีทางรอดพ้นจากการลงโทษไปได้
และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ
[3:189]
และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ
เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
[3:190]
แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
และการที่กลางวันและกลางคืนตามหลังกันนั้น
แน่นอนมีหลายสัญญาณ
สำหรับผู้มีปัญญา
[3:191]
คือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮ์
ทั้งในสภาพยืน
และนั่ง
และในสภาพที่นอนตะแคง
และพวกเขาพินิจพิจารณากันในการสร้างบรรดาชั้นฟ้า
และแผ่นดิน
(โดยกล่าวว่า)
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
พระองค์มิได้ทรงสร้างสิ่งนี้มาโดยไร้สาระ
มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน
โปรดทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด
[3:192]
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์แท้จริงผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เข้าไฟนรก
แน่นอนพระองค์ก็ยังความอัปยศแก่เขาแล้ว
และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้น
ย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ
[3:193]
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์!
แท้จริงพวกข้าพระองค์ได้ยินผู้ประกาศเชิญชวนผู้หนึ่งกำลังประกาศเชิญชวนให้มีการศรัทธาว่าท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด
และพวกข้าพระองค์ก็ศรัทธากัน
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์!
โปรดทรงอภัยแก่พวกข้าพระองค์ด้วย
ซึ่งบรรดาโทษของพวกข้าพระองค์
และโปรดลบล้างให้พ้นจากพวกข้าพระองค์
ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์
และโปรดทรงให้พวกข้าพระองค์สิ้นชีวิตโดยร่วมอยู่กับบรรดาผู้ที่เป็นคนดีด้วยเถิด
[3:194]
โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์!
และได้โปรดประทานแก่พวกข้าพระองค์สิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้แก่พวกข้าพระองค์
โดยผ่านบรรดาร่อซู้ลของพระองค์
และโปรดอย่าได้ทรงยังความอัปยศแก่พวกข้าพระองค์ในวันปรโลกเลย
แท้จริงพระองค์นั้นไม่ทรงผิดสัญญา
[3:195]
แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า
แท้จริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม
โดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน
บรรดาผู้ที่อพยพ
และที่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมู่บ้านของพวกเขา
และได้รับความเดือดร้อนในทางของข้า
และได้ต่อสู้และถูกฆ่าตายนั้น
แน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเขา
ซึ่งบรรดาความผิดของพวกเขา
และแน่นอนข้าจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น
ทั้งนี้เป็นรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์
และอัลลอฮ์นั้น
ณ
พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม
[3:196]
อย่าให้การเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในเมืองลวงเจ้าได้เป็นอันขาด
[3:197]
มันเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น
แล้วที่อยู่ของพวกเขานั้น
คือ ญะฮันนัม
และช่างเป็นที่พักนอนที่เลวร้ายจริงๆ
[3:198]
แต่บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขานั้น
สำหรับพวกเขาคือบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น
โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาล
ทั้งนี้เป็น
สถานที่รับรองที่มาจากอัลลอฮ์
และสิ่งที่มีอยู่
ณ
อัลลอฮ์นั้น
คือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับผู้ที่เป็นคนดีทั้งหลาย
[3:199]
และแท้จริงในหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์นั้นมีผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า
และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา
ในฐานะผู้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์
โดยที่พวกจะไม่แลกเปลี่ยนโองการของอัลลอฮ์กับราคาอันเล็กน้อย
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขา
ณ
พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาแท้จริงอัลลอฮ์นั้น
เป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน
[3:200]
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงมีความอดทน
และจงต่างอดทนซึ่งกันและกันเถิดและจงประจำอยู่ชายแดน
และพึงกลัวเกรงอัลลอฮ์เถิด
เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ